นิทานอีสป เรื่อง ไก่กับพลอย พ่อไก่หนุ่มตัวหนึ่งพร้อมกับฝูงแม่ไก่กำลังคุ้ยดินหากินอยู่ใกล้ๆกับทุ่งนา ขณะที่มันกำลังคุ้ยดินอยู่นั้นได้พบเอาพลอยเม็ดหนึ่ง ประกายพลอยส่องแสงจับกับรังสีของพระอาทิตย์ระยิบระยับงดงาม ไก่มองดูเจ้าเม็ดพลอยนั้นด้วยความประหลาดใจ มันเอียงคอ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า " เจ้านี่ช่างงดงามเหลือเกิน และแน่นอนถ้าหากว่าช่างทำเพชรพลอยเขามาพบเจ้าละก็... เขาจะต้องชอบเจ้าแน่ๆ เชียว แต่สำหรับข้า เจ้าไม่มีค่าสำหรับข้าเลยแม้แต่น้อย ความจริงดูเหมือนว่า ข้าวเพียงเมล็ดเดียวนั้นยังจะมีค่ามากกว่าเจ้าพวกเพชร พลอยทั้งหมดในโลกเสียด้วยซ้ำ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่รู้ความต้องการของตนจะมีความสุข คนฉลาดชอบสิ่งที่จำเป็นมากกว่าเครื่องประดับอันระยิบระยับซึ่งไม่มีค่าอันใด นอกจาก ก่อให้เกิดความเย่อหยิ่งและความฟุ้งเฟ้อ เรื่อง นกสาลิกาและนกยูง นกสาลิกาตัวหนึ่ง มีความหยิ่ง และทิฐิมาก มันมีความไม่พอใจในชีวิตของตนเองมันก็มักจะเก็บขนที่ร่วงหล่นของนกยูงมาแซม ขนของมันเอง แล้วเข้าไปอยู่ในฝูงนกยูง แต่ไม่นานนักขนที่มันแซมก็ร่วงหล่นลงมา นกยูงก็ขับไล่จิกตีมันด้วยปากอันแหลมคม มัน จึงกลับถิ่นเดิมของมันด้วยความทุกขเวทนา และอยากจะไปรวมกับพวกเดียวกันอีกสักครั้ง เมื่อมันไปเข้าฝูงนกสาลิกา เหล่านกสาลิกา ก็ไม่สนใจไยดี เพราะเคยเห็นความประพฤติครั้งก่อนๆของมัน เหล่านกสาลิกาพูดว่า " เพื่อนรัก เธอน่าจะอยู่กับเราอย่างมีสันโดษ แต่ เธอกลับไม่ไยดีต่อมิตรภาพอันดีของเรา เธอไม่ต้องการพวกเรา และเดี๋ยวนี้เราก็ไม่ต้องการเธอเหมือนกัน " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความหยิ่งจองหอง และความโง่เขลานั้น เป็นสิ่งที่รังแต่จะทำให้คนอื่นมองตัวเราอย่างน่าขบขัน ดูหมิ่น เรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ หมาป่าตัวหนึ่ง กำลังกินน้ำอยู่ที่ตอนเหนือของแม่น้ำในระยะที่ไม่ไกลนัก มีลูกแกะตัวหนึ่งกำลังกินน้ำอยู่ถัดออกไป เมื่อหมาป่าเห็น ดังนั้น จึงเดินมาพูดกับลูกแกะว่า " อะไรกันนี่ เจ้าลูกแกะเกเร เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงทำให้น้ำขุ่นเป็นโคลนจนข้ากินไม่ได้ " ลูกแกะตอบว่า " ฉันเสียใจ แต่ฉันคิดว่า ฉันไม่สามารถทำให้น้ำนั้นขุ่นจนท่านกินไม่ได้ เพราะฉันอยู่ปลายน้ำ จะไปทำให้น้ำขุ่นจนถึงที่ที่ท่านยืนอยู่ได้อย่างไร " หมาป่าตั้งใจจะหาเรื่องกับลูกแกะให้ได้จึงพูดว่า " บางทีมันก็อาจจะเป็นได้ แต่เมื่อหกเดือนก่อน เจ้าคนพาล เจ้าได้ด่าข้าลับหลัง " " มันจะเป็นไปได้อย่างไร " ลูกแกะตอบ "ในเมื่อตอนนั้นฉันยังไม่เกิด" หมาป่าตอบว่า " อะไรกัน เจ้าช่างไม่มีความละอาย ครอบครัวของ เจ้าเกลียดครอบครัวของข้า ถ้าไม่ใช่เจ้าเป็นคนด่า ก็คงเป็นพ่อของเจ้า " เมื่อพูดจบก็ตรงเข้าขย้ำลูกแกะกินเป็นอาหาร นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่ไม่มีความกรุณา จะไม่ยอมรับฟังเหตุผล เนื่องจากมีความโหดร้าย และอยุติธรรมในใจเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่จะไปต่อปากต่อ คำด้วย ผู้ที่กดขี่ข่มเหงมักจะหาทางที่จะทำลายเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจนได้ เรื่อง เหยี่ยวและนกพิราบ พวกนกพิราบถูกรังแกจากเหยี่ยวบ้าน จึงไปหาเหยี่ยวป่า และขอเชิญให้เป็นผู้ป้องกันบรรดานกพิราบ เหยี่ยวป่าได้สวมมงกุฎ เป็นราชาของนกพิราบ แล้วก็สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะดูและปกป้องให้ ต่อมาไม่นานเหยี่ยวป่าบอกนกพิราบว่า เมื่อเราได้เป็นราชาแล้ว ควรได้สิทธิที่จะเอานกพิราบไปกินเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ บรรดาสมัครพรรคพวกและครอบครัวของเหยี่ยวป่าก็ถือสิทธิเช่นเดียวกัน และในไม่ช้า นกพิราบก็ตระหนักความจริงว่า เหยี่ยวป่าได้ก่อความเดือดร้อนในสองสามสัปดาห์มากกว่า ที่เหยี่ยวบ้านทำในเวลาหลายเดือน " เราสมควรจะสมน้ำหน้าตัวเองได้แล้ว " พวกนกพิราบกล่าว " เราไม่ควรไปยุ่งกับมันเลย " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มันเป็นอันตรายต่อประชาชนที่จะเรียกร้องผู้มีอำนาจ และความทะเยอทะยานมาเป็นผู้ป้องกัน เพราะผู้มีอำนาจสนใจในการป้องกัน ตัวเองเท่านั้น เรื่อง สิงโต หมี และสุนัขจิ้งจอก สิงโตและหมีได้ต่อสู้กันเพื่อแย่ชิงลูกกวาง เหยื่อซึ่งมันได้ล่ามาในเวลาเดียวกันจนกระทั่งเหนื่อยและนอนลงหอบ ขณะนั้นเองสุนัข จิ้งจอกได้ผ่านมาและได้ตรงเข้ามาชิงลูกกวางตัวนั้นไป สิงโตและหมีพยายามขัดขวาง แต่มันเหนื่อยเกินไปจึงทำไม่ได้ " โง่อะไรอย่างนี้ เราทั้งคู่โง่มาก " มันกล่าว " แทนที่เราจะประนีประนอมแบ่งเหยื่อกัน เรากลับมาต่อสู้กัน เราเลยเสียเหยื่อให้กับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไป เสียอย่างนั้น " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อบุคคลใดเกิดคดีฟ้องร้องแย่งชิงกรรมสิทธิ์กันก็มักปรากฎว่า บุคคลที่สามผู้ฉลาดจะได้รับประโยชน์เสมอ เรื่อง หมากับเงา หมาตัวหนึ่งคาบก้อนเนื้อกำลังเดินข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง ขณะที่มันกำลังเดินอยู่บนสะพานนั้น มันได้ชำเลืองลงไปในน้ำเบื้องล่าง มันได้เห็นหมาอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นเงาของตัวมันเอง กำลังคาบก้อนเนื้ออีกก้อนหนึ่ง มันเกิดความโลภขึ้นจนทนไม่ไหว จึงได้กระโจนลง ไปในน้ำเพื่อที่จะแย่งก้อนเนื้ออีกก้อนหนึ่งจากเงาของมันเอง แน่นอนมันย่อมหมดหวังที่จะได้ก้อนเนื้อก้อนนั้น และซ้ำร้ายก้อนเนื้อที่มัน คาบมาด้วยนั้นยังตกลงไปในแม่น้ำ และจมลงสู่ก้นแม่น้ำในที่สุด นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภอยากได้ทุกสิ่งจะทำให้สูญเสียทุกสิ่ง ความตะกละจะทำให้พลาดจากสิ่งที่หวังและผู้ที่อยากได้ในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับตน สมควรจะสูญเสียสิ่งที่ตนมีอยู่ ถ้าจะพูดแบบไทยๆก็คือ " โลภนักมักลาภหาย " เรื่อง หมาป่ากับนกกระสา หลังจากที่หมาป่าตัวหนึ่ง ได้กินเหยื่อของมันอย่างตะกรุมตะกรามเรียบร้อยแล้ว ก็มีกระดูกชิ้นหนึ่งได้เข้าไปติดอยู่ในลำคอของมัน ทำให้มันได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันวิ่งและเห่าหอนไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ จนในที่สุดมันก็ได้พบกับนกกระสา ตัวหนึ่งซึ่งมันได้ให้สัญญากับนกกระสาว่าจะให้รางวัล เพียงแต่ถ้านกกระสา สามารถจะเอากระดูกออกจากคอหอยของมันได้ นกกระสา จึงทำตามที่หมาป่าขอร้องเมื่อนกกระสาเอากระดูกออกมาได้แล้ว มันจึงได้ขอรางวัลจากหมาป่า " อวดดีจริง " หมาป่าเอ็ดเจ้านกกระสา " เมื่อตะกี้นี้เจ้าเอาหัวของเจ้าเข้ามาในปากของข้า และข้าก็สามารถงับเจ้าได้โดยง่ายดาย แต่ข้าก็ปล่อยให้เจ้าเอาหัวของเจ้าออกมาจากลำ คอของข้าได้โดยปลอดภัย นั่นไม่ใช่รางวัลที่พอเพียงดอกหรือ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ที่ฉลาดจะไม่มีการติดต่อกับสัตว์ป่าเถื่อนหรือดุร้าย และหลีกเลี่ยงจากสัตว์พวกนั้นเพื่อรักษาชีวิต และไม่ควรจะหวังอะไรตอบ แทนจากสัตว์เหล่านั้น เรื่อง หมูป่ากับลา วันหนึ่งขณะที่ลากำลังอารมณ์ดี ก็ได้พบกับหมูป่าซึ่งเดินผ่านมา ลาได้ร้องทักหมูป่าอย่างเย้ยหยันไปว่า " เป็นไงบ้างเพื่อน เป็น งัยบ้าง " เมื่อหมูป่ารับการทักทายจากลาอย่างเย้ยหยันเช่นนั้น จึงเกิดโมโหมาก หมูป่าจึงพองขน แยกเขี้ยว และขู่ลาไปว่า " นี่แน่ะ เพื่อน แกอย่ามายุ่งกับฉันดีกว่า " พร้อมทั้งทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ลา ต่อมาหมูป่าเริ่มควบคุมอารมณ์ได้ จึงพูดกับลาว่า " ไปให้พ้นข้า เสียเถอะ เจ้าลาโง่ มันเป็นการง่ายมากที่ข้าจะแก้แค้นแก แต่มันไม่คุ้มค่าเลยที่จะให้เขี้ยวของข้าต้องไปเปรอะเปื้อนกับลาโง่ๆอย่างแก " หมูป่าพูดพร้อมกับเดินจากไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มันเป็นการไม่สมควรยิ่งในการที่ผู้มีศักดิ์ศรีและจิตใจสูง จะเข้าไปทะเลาะกับผู้ที่ไม่มีความสามารถและไม่กล้าหาญ เก่งแต่ปาก เรื่อง หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง หนูบ้านนอกตัวหนึ่ง ได้เชิญเพื่อนเก่าซึ่งเป็นหนูในเมืองให้มาอยู่กับมันชั่วระยะหนึ่ง และมันตั้งใจจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดแก่ เพื่อน ไม่ว่าเปลือกขนมปังที่ขึ้นรา เนยแข็งเล็กๆ ข้าวโอ๊ตที่ขึ้นรา เศษหมูเบคอนเล็กๆ และอีกหลายๆอย่าง ในที่สุดเพื่อนของมันพูด ว่า " เพื่อนเก่าของฉัน ขอให้ฉันพูดตรงๆนะ ทำไมจะทนทุกข์ยากอยู่อย่างนี้ เมื่อเธอไปอยู่กับฉันในเมือง เธอจะหนีความทนทุกข์และมี ความสุขสนุกสนานกับชีวิตในเมือง " หนูทั้งสองได้เดินทางเข้าเมืองพร้อมกันอย่างอิดโรย จนกระทั่งเที่ยงคืนถึงที่หมาย หนูในเมืองก็ได้พาหนูบ้านนอกไปในห้องเก็บ อาหาร แล้วไปในห้องรับแขก มีอาหารซึ่งหนูบ้านนอกไม่เคยพบตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร เป็นอาหารอันโอชะที่เหลือจากตอนเย็น ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออก มีชาย 2 คนเดินเข้ามากับสุนัข ได้พูดคุยเสียงดังทำให้หนูตกใจมาก แต่พอทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบ หนูบ้านนอกก็พูดขึ้นว่า " เพื่อนรัก ถ้าชีวิตในเมืองมีลักษณะเช่นนี้ ฉันขอกลับไปอยู่บ้านนอกของฉันที่มีเศษเนยเก่าๆขึ้นรา กับขนมปัง ขึ้นราดีกว่า อยู่รูเล็กๆแต่ปราศจากความหวาดกลัวและอันตราย ดีกว่าเป็นนายใหญ่โตแต่ต้องคอยระมัดระวังตัวมีแต่ความรำคาญใจ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตที่สงบในชนบทเป็นสิ่งที่ดีกว่าความรวยในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งยาก เรื่อง อีกากับหอยกะพง วันหนึ่งอีกาพบหอยกะพงที่ชายทะเล ก็ได้พยายามแกะเปลือกหอยนั้น ด้วยจะงอยปากแต่ทำไม่สำเร็จ ก็พอดีอีกาตัวหนึ่งผ่าน มาพบ " ทำไมไม่ทำตามคำแนะนำของฉัน " มันพูด " คาบหอยกะพงขึ้นไปบนอากาศซิ แล้วปล่อยลงมากระทบกับก้อนหิน น้ำหนักของ มันจะทำให้ตัวหอยแตก ปากก็จะอ้า " อีกาตัวแรกก็ทำตามคำแนะนำดังกล่าว และแน่นอนหอยแตกออก แต่อีกาตัวที่แนะนำไปฉวยโอกาส เอาหอยไปเสียก่อนแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนส่วนมากที่แสดงความกรุณาต่อเพื่อนบ้าน ก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับอีกา สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เห็นอีกาคาบชื้นเนื้ออยู่บนต้นไม้ มันต้องการเนื้อชิ้นนั้น เจ้าสุนัขจิ้งจอกที่ฉลาดแกมโกง จึงกล่าวยกยออีกา ว่า " เจ้าช่างสวยอะไรเช่นนี้ จะดูขนก็สวยงามกว่าใครๆ ข้ายังไม่เคยพบใครขนสวยอย่างนี้มาก่อนเลย รูปร่างก็ระหง สวยสง่า น้ำเสียง หรือก็จะแสนไพเราะจับใจ " อีกาดีใจที่ได้ฟังคำพูดยกยอดังนั้น จึงกระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้นบนกิ่งไม้ และต้องการพิสูจน์ตัวเองว่ามีเสียงไพเราะจริง หรือไม่ จึงอ้าปากส่งเสียงร้องเพลงทันใดนั้นชิ้นเนื้อก็ตกลงมาที่สุนัขจิ้งจอก ซึ่งตรงเข้าตะครุบและขย้ำกินทันทีด้วยความปลาบปลื้มกับ สมองอันชาญฉลาดของมัน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในโลกนี้มีน้อยคนนัก ที่ไม่สามารถเอาชนะการประจบยกยอได้ เรื่อง จูปีเตอร์กับอูฐ ครั้งหนึ่ง อูฐตัวหนึ่งได้เข้าเฝ้าเทพเจ้าจูปีเตอร์ เพื่อร้องทุกข์ถึงความลำบากของตน มันได้กล่าวว่า " ข้าไม่เหมือนกับสัตว์อื่นๆ เขาเลย ข้าไม่มีเขา ฟัน กรงเล็บ หรือแม้แต่อาวุธอื่นๆที่จะป้องกันชีวิตของข้าหรือเพื่อต่อสู้กับศัตรู ข้าได้สวดมนต์อ้อนวอนเพื่อให้ท่าน เมตตา ขอท่านได้โปรดประทานอาวุธบางสิ่งบางอย่างให้ข้าบ้างเถิดเพื่อความยุติธรรม " เทพเจ้าจูปีเตอร์ทรงโกรธคำขอร้องที่ไม่รู้กาล เทศะซึ่งเป็นการไม่สมควรยิ่ง จึงสาปให้ใบหูของอูฐสั้นตั้งแต่นั้นมา นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รางวัลที่ธรรมชาติได้แบ่งให้แก่สัตว์ทั้งปวงนั้น ได้แบ่งอย่างยุติธรรมแล้ว การที่จะขอร้องอะไรเช่นนั้นเป็นการท้าทายเทพเจ้า เรา ควรพอใจในสิ่งที่ธรรมชาติให้มา เรื่อง ราชสีห์กับหนู ราชสีห์ตัวหนึ่ง รู้สึกง่วงจึงล้มตัวลงนอนพักผ่อนใต้ร่มเงาไม้ ในขณะที่กำลังเคลิ้มหลับนั้นก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้น มันคำรามด้วย ความโกรธ เพราะหนูตัวหนึ่งขึ้นไปวิ่งเล่นบนหลัง ราชสีห์จึงยกอุ้งเท้าขึ้นตะปบไว้ได้ และจะฆ่ามันเสีย เจ้าหนูสัตว์น้อยๆพูดขอร้อง ราชสีห์ว่า " ท่านราชสีห์ โปรดอย่าฆ่าข้าพเจ้าเลย สัตว์ที่สูงศักดิ์ดังท่าน ไม่เหมาะที่จะมาฆ่าสัตว์ต่ำต้อยเช่นข้าพเจ้า " ราชสีห์ได้ฟัง ดังนั้นจึงปล่อยหนูไป ต่อมาไม่นานนัก ราชสีห์ออกล่าเหยื่อ ไปติดบ่วงของนายพรานจึงร้องด้วยเสียงอันดัง เมื่อหนูได้ยินจึงได้ มาช่วยเหลือ หนูกล่าวว่า " อย่ากลัวไปเลย ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนของท่าน " ว่าแล้วก็เข้าแทะบ่วงจนขาด ราชสีห์ได้เป็นอิสระ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีใครในโลกที่จะยิ่งใหญ่ และสำคัญมากจนไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่ด้อยกว่าและไม่มีความสำคัญ เรื่อง ไก่ชนกับนกอินทรี ครั้งหนึ่งมีไก่ชนสองตัวต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นจ่าฝูง ในที่สุดตัวหนึ่งก็เป็นผู้ชนะ ไก่ชนตัวที่แพ้เดินเข้ามุมหลบซ่อนตัว ส่วนไก่ชนอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชนะได้บินขึ้นไปบนเกาะหลังคาบ้าน และส่งเสียงขันขึ้นพร้อมทั้งกระพือปีกเป็นการประกาศชัยชนะ ขณะ นั้นได้มีนกอินทรีตัวหนึ่งบินผ่านมาแถวนั้น ได้ยินเสียงตีปีกและเสียงขันของไก่ชนซึ่งอยู่บนหลังคาบ้านนั้นเข้า จึงได้บินโฉบลงมาพร้อม ทั้งได้ใช้เท้าซึ่งมีกรงเล็บแหลมคมโฉบไก่ตัวนั้นไปกินเป็นอาหาร ในที่สุดไก่ชนตัวที่พ่ายแพ้ก็ได้เป็นใหญ่ในฝูงสืบต่อไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่ได้ชัยชนะในการต่อสู้นั้น ควรจะถ่อมตนในชัยชนะที่ตนได้ เนื่องจากท่านไม่สามารถจะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เรื่อง นกนางแอ่นกับเพื่อนนกทั้งหลาย นกนางแอ่นตัวหนึ่ง มองเห็นชาวไร่ที่กำลังหว่านเมล็ดฝ้าย จึงเรียกเพื่อนนกตัวอื่นมาพร้อมกัน แล้วได้บอกกับเพื่อนนกทั้งหลาย นี้ว่าฝ้ายเป็นด้ายใช้สำหรับทำร่างแห ตาข่าย และกับดักสัตว์ นกนางแอ่นจึงชวนบรรดานกทั้งหลายมาจิกกินเมล็ดฝ้ายเพื่อทำลายเสีย ถึงแม้ว่านกทั้งหลายจะได้ยินนกนางแอ่นพูด แต่พวกนกเหล่านั้นไม่สนใจ ไม่มีใครทำตาม เมื่อถึงเวลาที่เมล็ดฝ้ายงอก นกนางแอ่นก็ เตือนบรรดานกทั้งหลายให้ระวังตัวอีกว่ามันยังไม่สายที่จะหลีกเลี่ยงความเดือดร้อน ถ้าพวกเราจะหนีไปอยู่ที่ที่ปลอดภัยแต่นกเหล่านั้นก็ ยังคงทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่นั่นเอง ดังนั้นเองนกนางแอ่นจึงออกไปจากป่าเพื่อไปอยู่ในเมือง ฝ้ายได้เติบโตและแข็งแรงผลิดอกออกผล ต่อจากนั้นนกนางแอ่นก็เห็นนกตัวอื่นๆซึ่งถูกจับเมื่อเร็วๆนี้เองในตาข่ายทอจากฝ้ายซึ่งมันเคยเตือน และเดี๋ยวนี้พวกนกเหล่านั้นจึงได้รับ บทเรียนแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนฉลาดสามารถรู้ถึงเหตุล่วงหน้าที่จะเกิดขึ้น แต่คนโง่จะไม่เชื่อจนกว่าความวิบัติจะเกิดขึ้นจนป้องกันไม่ได้ เรื่อง กบเลือกนาย กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบอย่างอิสระ พวกกบเหล่านี้รู้สึกเบื่อหน่ายเพราะขาดนายผู้ปกครอง และ ได้ขอผู้ที่จะเป็นนายจากเทพเจ้า เพื่อที่จะได้มาเป็นผู้คอยแนะนำในทางที่ถูกและตักเตือนในทางที่ผิด และเป็นผู้ออกกฎข้อบังคับ ตลอด จนให้รางวัลแก่ผู้ที่ทำความดี และลงโทษผู้กระทำความผิด เทพเจ้าทนฟังคำพูดอ้อนวอนอย่างโง่ๆของพวกกบทั้งหลายไม่ได้ จึงโยน ท่อนไม้ลงมาและกล่าวด้วยเสียงดังอย่างฟ้าผ่าว่า " นี่คือนายของพวกเจ้า " ท่อนไม้ดังกล่าวกระทบไม้แตกกระจาย พวกกบต่างมีความตกใจกลัวอย่างยิ่ง และได้ว่ายลงไปซ่อนตัวในโคลน ต่อมาไม่นานก็ได้ มีกบตัวหนึ่งผงกหัวขึ้นดูอย่างกล้าหาญ เพื่อมองหานายของมัน มันกระโดดขึ้นไปบนท่อนไม้กบตัวอื่นๆก็ตามขึ้นบ้าง เมื่อหายกลัวแล้ว พวกกบก็เริ่มดูหมิ่นนายของมัน " นายเฉยเกินไป " กบร้องเรียนเทพเจ้า " โปรดส่งนายใหม่ที่เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงมาให้พวกเราเถิด " เทพเจ้าเลยส่งนกกระสาลงมาตัวหนึ่ง เมื่อกบเห็นคอยาวๆของนกกระสา ต่างก็ทุ่มเถียงกันเป็นเวลานานว่าเป็นงูหรือนกกระสากัน แน่ จากนั้นนกกระสาก็ลงมือจับกบกินเป็นอาหาร กบจึงไปร้องต่อเทพเจ้าอีก ขอให้เอานกกระสากลับไปเสีย และให้ส่งนายใหม่มาแทน เทพเจ้ากล่าวว่า " เมื่ออยู่กันสบายๆพวกเจ้าก็ไม่พอใจ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ต้องทนเอาละ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจในสภาพปัจจุบัน แม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ยังดีกว่า เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอาจจะยิ่งเลวร้ายหนักกว่าเก่าขึ้นไปอีก ก็ได้ เรื่อง สุนัขจิ้งจอกและจระเข้ สุนัขจิ้งจอกและจระเข้ กำลังโต้เถียงกันเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของต้นตระกูล จระเข้ได้พูดถึงครอบครัวที่มีชื่อเสียงและบรรพ บุรุษที่ยิ่งใหญ่ของมัน สุนัขจิ้งจอกจึงยิ้มเยาะและพูดว่า " หยุดพูดได้แล้ว ไม่มีใครต้องการฟัง ไม่มีใครต้องการจะพิสูจน์เกี่ยวกับ บรรพบุรุษของท่านมากกว่าหนังของท่านหรอก ไม่มีใครสงสัยว่าท่านจะสืบสกุลมาจากขุนนางชั้นไหนหรอก " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การโกหกและโอ้อวด จะทำให้ต้องห่างไกลไปจากสังคม เรื่อง หมูตัวเมียและหมาป่า แม่หมูตัวหนึ่งเพิ่งออกลูกหลายตัวไปนอนบนกองฟาง เมื่อหมาป่ามาเยี่ยม มันคิดที่หาทางจะกินลูกหมูสักตัวหนึ่ง แต่มันไม่แน่ใจ ว่าจะทำได้ หลังจากที่มันถามถึงทุกข์สุขของแม่หมูแล้ว จึงพูดว่า " ถ้าเธอต้องการให้ฉันช่วยเหลือ โปรดบอกให้ฉันรู้ด้วย บางทีเธอ อาจจะชอบการออกกำลังกายและรับอากาศที่สดชื่น ถ้าเธอทำตามที่ฉันบอกฉันยินดีที่จะคอยดูแลลูกเล็กๆของเธอให้ " อย่างไรก็ตาม แม่หมูได้รู้ถึงแผนการณ์ของเจ้าหมาป่าตัวนี้ จึงพูดว่า " ขอบคุณมาก ฉันเข้าใจเธอได้ดี สิ่งที่เธอควรจะทำให้แก่ฉันและลูกๆอย่างยิ่ง ก็คือขอให้เธอไปเสียให้พ้นจากที่นี่ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีอุบายใดอันตรายเท่ากับอุบายของผู้แสร้งทำเป็นเพื่อน เรื่อง สุนัขแก่กับเจ้าของ ครั้งหนึ่งยังมีชายคนหนึ่งมีสุนัขร่าเริงอยู่ตัวหนึ่ง สุนัขตัวนี้จะต้องติดตามเจ้าของของมันไปล่าสัตว์เกือบทุกครั้ง ไม่เคยมีข้อบก พร่องในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ดี และซื่อสัตย์เลย ต่อมาเมื่อสุนัขตัวนั้นแก่ลงและไม่สามารถที่จะวิ่งได้เร็วเหมือนดังแต่ก่อน ผลที่มันได้รับ จากเจ้าของคือ การเฆี่ยนตีอย่างโหดร้าย สุนัขแก่จึงกล่าวขึ้นว่า " นายท่าน กำลังใจของข้ายังเหมือนเดิม แต่กำลังกายของข้ากำลัง ร่วงโรยไปตามวัย ฟันของข้าก็หลุดจนเกือบหมดสิ้น เสียเวลาเปล่าๆที่ท่านจะมาเฆี่ยนตีข้า ดูแต่ท่านซิ ยังไม่สามารถยับยั้งความแก่ของ ข้าได้เลย แล้วข้าจะไปทำงานหนักได้เหมือนตอนข้ายังหนุ่มๆได้อย่างไรเล่า " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำงานที่หนักและยาวนานคือรางวัลในตัวเอง คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และไว้วางใจได้จะหวังรางวัลได้ก็แต่ในโลกหน้า เรื่อง กระต่ายป่าและกบ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายป่ากลุ่มหนึ่งไม่พอใจในความเป็นอยู่ของตน จึงมีการประชุมขึ้น ตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า " ที่เรา มีชีวิตอยู่อย่างนี้ก็ด้วยความเมตตาของมนุษย์ สุนัข นกอินทรี และสัตว์ชนิดต่างๆซึ่งล่าพวกเราเป็นเหยื่อ พวกเรามีแต่ความหวาดผวา และมักตกอยู่ในอันตรายอยู่เสมอๆจึงมีความเห็นว่า พวกเราควรตายให้รู้แล้วรู้รอดไปดีกว่าที่จะอยู่อย่างหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเลว ร้ายไปกว่าการตายเสียอีก " กระต่ายป่าตัวอื่นๆต่างพากันเห็นด้วย จึงตัดสินใจที่จะไปกระโดดน้ำตาย พวกมันจึงรีบไปยังแม่น้ำที่ใกล้ที่สุดเพื่อทำการอันน่า สยดสยอง แต่เมื่อไปถึงแม่น้ำ พวกมันก็ประหลาดใจที่พบว่าพวกกบก็มีความหวาดกลัวพวกมัน ถึงกับพากันกระโดดหนีลงน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ กระต่ายตัวที่ฉลาดที่สุด จึงรีบตะโกนบอกกระต่ายทั้งหลายว่า " รอก่อน พวกเราต้องมีความอดทนต่อไป ชีวิต ของพวกเราก็ไม่เลวเท่าที่คิดเอาไว้ ดูซิ ! กบเหล่านี้มีความกลัวเรา พอๆกับที่เรากลัวสัตว์อื่น " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เป็นการยากที่จะทำให้ชีวิตเป็นที่พอใจของทุกคน ความจริงแล้วมีน้อยคนนักที่จะตกอยู่ในสภาพเลวร้ายมากเสียจนหาคนเคราะห์ ร้ายกว่าไม่ได้ เรื่อง สุนัขและแกะ ครั้งหนึ่ง สุนัขเป็นความกับแกะเรื่องหนี้สิน จึงตกลงให้เหยี่ยวและสุนัขป่าเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดี ผู้พิพากษาทั้งสองมีใจเอน เอียงมาทางสุนัข ดังนั้นเมื่อพิจารณาอยู่ไม่นานนักก็ตัดสินให้สุนัขชนะความ สุนัขจึงกระโจนเข้าฉีกแกะเป็นชิ้นๆและแบ่งเนื้อแกะให้ผู้ พิพากษาทั้งสองด้วย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในการตัดสินคดีว่าถูกหรือผิดนั้น ไม่สู้มีความหมายมากนัก ถ้าผู้พิพากษาและลูกขุนที่จะตัดสินความ มีใจอคติลำเอียงไปทางด้าน ผู้เป็นจำเลยอยู่ก่อน เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา สุนัขจิ้งจอกเชิญนกกระสามาเป็นแขกกินอาหารเย็น กับข้าวมีแต่แกงจืด ซึ่งใส่จานที่กว้างและตื้น สุนัขจิ้งจอกสามารถจะกินได้ ง่าย แต่นกกระสาต้องจุ่มปากจึงได้กินอาหารแค่ปลายจะงอยปากเท่านั้น มันจึงกินอาหารได้เล็กน้อย หลังจากนั้น 2 - 3 วันต่อมานกกระสา ได้เชิญสุนัขจิ้งจอกไปกินอาหารเย็นเป็นการตอบแทน และนกกระสาก็เตรียมหาเนื้อสัตว์สับใส่เหยือกแก้วยาวและปากแคบไว้ สุนัขจิ้งจอก จึงกินได้แต่บริเวณที่อยู่ตอนบน ธรรมชาติของนกกระสามันจะมีจะงอยปากยาว จึงสามารถกินอาหารที่อยู่ในเหยือกแก้วลึกได้อย่างเอร็ด อร่อย ตอนแรกสุนัขจิ้งจอกรู้สึกอึดอัดรำคาญ แต่ตอนลากลับมันคิดว่าที่นกกระสาทำกับมันเช่นนั้นเป็นการสมควรแล้ว เพราะตัวมันเอง เป็นผู้เริ่มทำตัวอย่างไว้ก่อน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การแสดงกิริยาดูถูกคนอื่นเป็นมารยาทที่ไม่ดี แต่ถ้าเราทำ เราก็จะต้องพร้อมที่รับการตอบแทนจากการกระทำนั้น เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับหน้ากาก สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังรื้อค้นกล่องใส่หน้ากาก มาพบอันหนึ่งซึ่งดูเหมือนกับของจริงมาก เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้วก็กล่าว ว่า " กะโหลกนี้มีความสง่างามมากเมื่อดูแต่ภายนอก แต่ภายในจะหาความรู้สึกนึกคิดแม้แต่นิดนึงก็ไม่มี " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เสื้อผ้าที่สวยงามและท่าทางที่สง่างาม มิได้แสดงความเป็นคนอย่างแท้จริง เหมือนใบหน้าที่สวยงามบนหัวจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่ มีความว่างเปล่าอยู่ภายใน ( คนแต่งกายงามมิใช่จะเป็นคนดี และคนใบหน้างามมิใช่จะเป็นคนฉลาดเสมอไป ) เรื่อง แมวกับพ่อไก่ ครั้งหนึ่งพ่อไก่ถูกแมวตะครุบไว้ได้ แมวต้องการกินไก่เสีย แต่รู้สึกว่าควรมีเหตุผลที่ดี แมวจึงหาเรื่องทะเลาะกับไก่ โดยพูดขึ้นว่า " ในเวลากลางคืนไก่ทำความรำคาญให้ทุกคน เพราะเสียงขันของไก่จะปลุกผู้คนให้ตื่น " ไก่จึงพูดว่า " ฉันไม่ได้ปลุกคนให้ตื่นในเวลา กลางคืน ฉันขันให้คนลุกขึ้นทำงานตอนพระอาทิตย์ขึ้นต่างหาก " อย่างนั้นหรือ แมวพูดขึ้น " ดี ข้าไม่มีเวลาที่จะมานั่งพูดกับเจ้าและ ตอนนี้ก็เป็นเวลาอาหารเช้าของข้าเสียด้วย การพูดไม่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ " พอพูดจบแมวก็ตะครุบไก่กิน นับเป็นการจบชีวิตของไก่และจบ เรื่องด้วย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความบริสุทธิ์ไม่อาจที่จะป้องกันต่อสู้กับความทารุณโหดร้ายจากผู้มีอำนาจข่มขี่ได้ แต่เหตุผลและความมีสติมักถูกยกขึ้นบังหน้า การกระทำอันชั่วช้าเลวทรามยิ่งใหญ่เสมอ เรื่อง วัวและอึ่งอ่าง วัวแก่อายุมากตัวโตตัวหนึ่งเล็มหญ้าอยู่ที่ชายทุ่ง มีอึ่งอ่างกับลูกๆกระโดดเล่นผ่านมา แม่อึ่งอ่างหยุดดูความใหญ่โตของวัวและ กล่าวกับลูกว่า " ดูนั่นซิ สัตว์อะไรใหญ่โตเหลือเกิน คอยดูซิว่าแม่จะทำตัวใหญ่กว่าได้หรือไม่ " ว่าแล้วแม่อึ่งอ่างก็กลั้นลมแล้วพองตัว ขึ้นๆจนในที่สุดพุงก็ระเบิด ถึงแก่ความตาย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความหยิ่งและความอิจฉาริษยา และความทะเยอทะยานทำให้คนเชื่อว่าตนเฟื่องกว่าผู้อื่น เห็นคนอื่นด้อยไปหมด ผู้ทำตัวเช่นนั้นจะ ประสบแต่ความหายนะในที่สุด เรื่อง ม้ากับสิงโต สิงโตตัวหนึ่งพอแก่ตัวลงก็รู้สึกว่าสัตว์ต่างๆ มีความรวดเร็วว่องไวมากเกินกำลังที่มันจะจับได้สะดวกเหมือนแต่ก่อน มันจึงแพร่ ข่าวออกไปว่า มันได้ไปเรียนวิชาแพทย์และการผ่าตัดมาจากต่างประเทศจนสามารถรักษาการเจ็บไข้ทุกอย่างให้แก่สัตว์ ที่ทำเช่นนั้นเพราะ สิงโตคิดว่าจะจับสัตว์อื่นโดยง่าย แต่ม้ารู้ทันแผนการนั้นและได้ปฏิญาณว่าจะแก้ลำสิงโตให้ได้ ดังนั้นม้าจึงแกล้งทำเป็นปวดที่ขาอย่างรุน แรง และเดินโขยกเขยกเข้าไปหาสิงโต เพื่อขอให้สิงโตรักษาให้ สิงโตจึงคิดว่า ม้านี้อาจจะเป็นอาหารมื้อวิเศษสุดสำหรับมัน สิงโตเจ้า เล่ห์จึงบอกให้ม้ายกขาข้างที่เจ็บขึ้น เพื่อจะได้มองเห็นชัดๆ พอสิงโตโน้มตัวมาข้างหน้า ม้าจึงยกขาขึ้นและใช้กีบที่แหลมคมโขกหน้าสิงโต อย่างแรง แล้ววิ่งอ้าวหนีไป พร้อมทั้งส่งเสียงร้องด้วยความยินดีในความสำเร็จ และความสามารถในการแก้ลำสิงโตได้อย่างงาม นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราไม่ควรไว้ใจคนที่ไม่ซื่อต่อเราเป็นนิจ ถ้าเป็นได้เราควรแก้ลำหรือตอบแทนแก่เขาผู้นั้นบ้าง เรื่อง ม้ากับลา ม้าตัวหนึ่งประดับเครื่องครบด้วยอานสำหรับสงคราม และเกราะสวยงามเป็นมันวาว วิ่งควบฝุ่นฟุ้งตลบไปตามถนน ทำให้มีเสียง กึกก้องสะท้อนในภูเขา เหมือนเสียงฟ้าผ่าเพราะกีบของมัน มันไปไม่ไกลนักก็ทันลา ซึ่งเดินโซเซโงนเงนไปตามถนนเพราะบรรทุกของ หนักมาก " หลีกทางข้านะ " ม้าตะโกนเชิงบังคับ " หลีกทางข้านะ มิฉะนั้นข้าจะเหยียบแกลงไปนอนคลุกฝุ่น " เจ้าลาที่น่าสงสารไม่กล้า โต้แย้งและรีบถอยลงข้างทาง ต่อมาไม่นานม้าตัวนั้นก็ได้เข้าสงคราม มันเคราะห์ร้ายบังเอิญถูกลูกธนูที่นัยน์ตาทำให้ไม่มีประโยชน์ในการ รบต่อไปอีก เครื่องประดับต่างๆก็ถูกเอาออกหมด และปลดระวางขายไปเป็นม้าขนสัมภาระธรรมดา มันได้พบลาอีกครั้งหนึ่ง " สวัสดี เพื่อนรักของฉัน " ลาพูด " อย่างไรล่ะถึงได้กลับมานี่ ฉันรู้เสมอว่า ความหยิ่งยโสที่โง่เขลาของท่าน จะทำให้ความยิ่งใหญ่ของท่านสลาย ลงในวันหนึ่ง " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่หยิ่งและโง่ ทั้งสองอย่างนี้คนฉลาดจะเห็นว่า เป็นคนเล็กน้อยไม่มีความหมายอะไร มีความจริงที่รู้กันว่า ความเย่อหยิ่งย่อม ปรากฎขึ้นก่อนความหายนะ เรื่อง นก สัตว์ป่า และค้างคาว ครั้งหนึ่งมีการต่อสู้ระหว่างนกกับสัตว์ป่า ขณะนั้นค้างคาวยืนอยู่ข้างๆและพูดว่า มันขอเป็นกลาง จนกระทั่งจะทราบว่าใครเป็น ผู้ชนะ ผลการต่อสู้ปรากฎว่าสัตว์ป่าเป็นผู้ชนะ และค้างคาวก็เข้าเป็นพวกของสัตว์ป่า ต่อมาพวกนกได้รวบรวมกำลังกันต่อสู้ใหญ่จน สามารถเอาชัยชนะได้ ค้างคาวเห็นว่าสัตว์ป่าพ่ายแพ้ก็หันมาเข้าข้างนก แต่แทนที่จะได้รับการต้อนรับจากนก กลับถูกรังเกียจว่าเป็นผู้ ทอดทิ้งเพื่อน และถูกพิจารณาโทษให้ขับไล่ออกไปจากหมู่นกทั้งหลายไม่ให้ออกมาปรากฎในตอนกลางวันอีกต่อไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง บางคราวอาจไม่ดีและไม่ซื่อสัตย์ บางคราวอาจน่าสรรเสริญว่าไม่แต่เป็นเพียงความซื่อสัตย์เท่านั้น หากเป็นความจำเป็นที่จะต้องเลือกข้างด้วย ศิลปะหรือวิธีการอยู่ที่ว่าจะต้องรู้จักเลือกข้างที่เหมาะในโอกาสที่สมควร เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับสุนัขป่า มีสุนัขป่าตัวหนึ่งซึ่งสะสมเสบียงอาหารไว้มาก มีท่าทางสำราญมาก กินนอน และหลับอย่างสบายในถ้ำ สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเห็นว่า สุนัขป่าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในถ้ำก็แปลกใจ ดังนั้นมันจึงไปหาสุนัขป่าเพื่อถามข้อสงสัย เมื่อไปถึงสุนัขป่าร้องออกมาว่า ไม่สบายมาก ไม่ สามารถจะออกไปต้อนรับได้ แต่สุนัขจิ้งจอกรู้ทันจึงวิ่งออกไปทันทีเพื่อบอกให้คนเลี้ยงแกะผู้ที่กำลังผ่านไปรู้ว่า สุนัขป่ากำลังนอนหลับ อยู่ในถ้ำ สุนัขจิ้งจอกพูดกับคนเลี้ยงแกะว่า " สิ่งที่ท่านต้องทำก็เพียงแค่ เอาปืนไปยิงสุนัขป่าขณะที่ยังหลับอยู่ " คนเลี้ยงแกะทำตาม คำแนะนำของสุนัขจิ้งจอก โดยไปในถ้ำและยิงสุนัขป่าทิ้งเสีย ต่อมาสุนัขจิ้งจอกวิ่งเข้าไปในถ้ำเพื่อหาเสบียงอาหารเอามาไว้เป็นของตน สุนัขจิ้งจอกเป็นปลื้มอกปลื้มใจกับเสบียงอาหารนั้นอยู่ไม่นาน คนเลี้ยงแกะก็กลับมายิงสุนัขจิ้งจอกเช่นเดียวกัน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเลวที่เอาแต่ได้นั้นหลอกลวงได้ทั้งคนดีและคนชั่ว ทุกคนจะสมน้ำหน้าผู้ที่กระทำความชั่วแล้วถูกลงโทษอย่างยุติธรรม เรื่อง กวางมองตัวเองในน้ำ กวางตัวหนึ่งมองเงาของมันเอง ขณะที่กินน้ำอยู่ในสระแห่งหนึ่ง " โอ้ ! เราช่างมีเขาที่สวยสง่าน่าชมอะไรเช่นนี้ " เจ้ากวางเปล่ง เสียงอุทานอย่างดีใจ " เขาสองข้างแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างน่าดูอยู่บนหน้าผากของฉัน แต่อย่างไรก็ดีฉันก็มีขาเล็กไม่ได้ส่วน ซึ่งทำให้ฉัน รู้สึกละอายใจยิ่งนัก มันยาวเก้งก้างไม่น่าดูเลย " ขณะที่มันกำลังรำพึงกับตัวเองนั้นพลันได้ยินเสียงของฝูงสุนัขล่าเนื้อ มันจึงกระโดด จากบ่อน้ำตรงไปยังทุ่งหญ้า ไม่ช้าก็ทิ้งฝูงสุนัขล่าเนื้อไว้เบื้องหลังไกลลิบ ในที่สุดมันก็เข้าไปในป่าทึบ แต่ก็โชคไม่ดีเลยเขาของมันไปติด กับกิ่งไม้จนไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้ ความตายกำลังจะมาถึงตัวกวางในไม่ช้า มันจึงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารว่า " ฉันนี่โง่จริง มัวไป ภูมิใจอยู่กับเขาของฉันซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ขณะเดียวกันฉันก็ต่อว่าขาของฉัน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ฉันมีชีวิตรอดได้ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเรามักเห็นผิดเป็นชอบ ไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาอย่างถ่องแท้ มักเห็นแก่ความสวยงามมากกว่าประโยชน์ เรื่อง งูกับตะไบเหล็ก ครั้งหนึ่งมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปในโรงงานของช่างเหล็ก ได้พบตะไบเข้ามันจึงเริ่มเลียมันคิดว่าตะไบเหล็กนั้นเป็นสิ่งประหลาด มันยิ่งเลียมากขึ้นเท่าไรเลือดก็ออกมามากขึ้นเท่านั้น มันเชื่ออย่างโง่เขลาว่า มันสามารถทำให้ตะไบเหล็กเลือดออกได้ จึงคิดว่ามันได้ เปรียบ ต่อจากนั้นก็เริ่มเลียต่อไป จนมันไม่สามารถทำต่อไปได้อีก มันก็กัดตะไบเหล็กแต่ตะไบเหล็กแข็งแรงเกินกว่าฟันของมัน จะทำอะไร ได้ ไม่ช้ามันก็เลิกล้มความตั้งใจ และเลื้อยจากไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มันเรื่องของความบ้าระห่ำที่ไปโจมตีผู้อื่นโดยไม่มีจุดหมายอื่นนอกจากความโกรธ การทำเช่นนั้นเป็นผลร้ายต่อผู้กระทำอย่างมาก เรื่อง สุนัขกับแกะ กาลครั้งหนึ่งมีฝูงแกะที่เข้มแข็งทรหดอดทนมากจนสามารถต่อสู้กับฝูงสุนัขป่าได้ เพราะมีสุนัขบ้านเป็นพันธมิตรด้วย ต่างฝ่าย ต่างไม่มีการเพลี้ยงพล้ำแก่กัน ในที่สุดฝ่ายสุนัขป่าได้ส่งฑูตมาเจรจาสันติภาพกับฝูงแกะ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายจึงมีการ แลกเปลี่ยนตัวประกัน ทางฝูงแกะให้ฝูงสุนัขบ้านเป็นตัวประกัน ทางสุนัขป่าให้ลูกเป็นตัวประกัน ขณะที่การเจรจาดำเนินไป ก็มีเสียง หอนของลูกสุนัขป่าดังขึ้น สุนัขป่าก็ร้องออกมาทันทีว่า " พวกท่านทรยศเล่นไม่ซื่อกับเรา " ดังนั้นสัญญาลมๆแล้งๆก็ถูกทำลายลง ฝูง สุนัขป่าเข้าขย้ำฝูงแกะ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีสุนัขบ้านคอยช่วยเหลือ ในไม่ช้าแกะก็ถูกสุนัขป่ากินจนหมด นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้นที่ทำไมตรีกับผู้ที่ร่วมกันไม่ได้โดยธรรมชาติ เพราะสันติภาพที่โง่ๆจะเป็นผลทางทำลายมากกว่าสงคราม นองเลือด เรื่อง ลิงกับสุนัขจิ้งจอก การไม่มีหางนี้ทำให้ลิงชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีหางคิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับกาลอากาศที่ร้ายแรง เมื่อลิงนั้นพบกับสุนัขจิ้งจอก มัน จึงพูดว่า ถ้าสุนัขจิ้งจอกจะมีความกรุณาให้ขนที่หางกับมันสัก 2 - 3 เส้น จากหางที่เป็นพุ่มของสุนัขจิ้งจอกซึ่งมีขนหางมากเกินความจำ เป็นก็จะดี เพราะหางของสุนัขจิ้งจอกที่ลากไปตามพื้นทำให้เปื้อนฝุ่น สุนัขจิ้งจอกก็ร้องว่า " อะไรกันหางของฉันมีมากเกินความจำเป็น หรือ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่ที่ฉันก็รู้ว่า ฉันปล่อยให้หางของฉันเปื้อนฝุ่นก็ยังดีกว่าให้เอาไปปิดหลังลิง " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พระเจ้าประทานสิ่งที่เหมาะควรตามสภาพแก่สัตว์ทุกๆตัว เราไม่ควรท้าทายหรือดูหมิ่นพระปัญญาของพระเจ้า เรื่อง นกล้าคกับลูกๆของมัน นางนกล้าคตกลูกครอกหนึ่งอยู่ในไร่ข้าวโพด เนื่องจากใกล้จะถึงเวลาข้าวโพดแก่นางกลัวว่า คนเก็บเกี่ยวอาจจะมาเก็บข้าวโพด ก่อนที่ลูกนกจะมีขนและสามารถบินได้ ในตอนเช้าวันหนึ่งก่อนออกไปหาอาหารนางได้เตือนลูกๆของนางให้คอยฟังสิ่งที่ชาวนาพูดถึงการ เก็บเกี่ยว พอนางนกบินกลับมา ลูกๆของนางก็เล่าว่า ได้ยินชาวนาถามกันว่า เขาจะตัดข้าวโพดพรุ่งนี้เช้าดีไหม " อ้อ อย่างนั้นหรือ " แม่นกอุทานขึ้น " ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่มีอันตราย " เช้าวันรุ่งขึ้นตอนจะออกไปหาอาหาร นางก็บอกลูกๆของนางให้คอยฟังเช่นเคย เมื่อ นางกลับลูกๆต่างมีท่าทางตกใจมากและกล่าวว่า ชาวนาพูดกับเพื่อนอีกครั้งหนึ่งขอร้องถึงเรื่องที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวในวันต่อไป แม่นกฟัง ข่าวอย่างสงบไม่ทำอะไรนอกจากบอกให้ลูกนกเล็กๆคอยฟังในวันต่อไปอีก เมื่อนางกลับมาในตอนเย็นวันนั้น ลูกนกกำลังตกอยู่ในสภาพ ที่ตื่นเต้นตกใจบอกว่า ชาวนาได้บอกลูกชายให้ไปนำเคียวมาให้พร้อมเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะคอยคนอื่นๆ เขาทั้งหลายจะตัดข้าวโพด กันเอง " อ้า ! มันช่างน่ากลัว " นกล้าคพูด " เราต้องออกจากที่นี่ทันที เร็วเท่าที่จะเร็วได้ เพราะเมื่อเขาได้ทำงานด้วยตัวของตัวเอง เขา ก็จะไม่ยอมให้เสียเวลาแม้แต่น้อย " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใครก็ตามถ้าหวังผลแน่นอนในการทำงาน ต้องลงมือทำด้วยตนเอง เพราะคนใช้ที่ดีจำนวนมากต้องเสียนิสัยไปเพราะเจ้านายที่สะ เพร่า