ประชาพิจารณ์ ประชามติ หรือประชา กรณีการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมาย

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
25/01/2008
ที่มา: 
รองศาสตราจารย์มานิตย์ จุมปา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประชาพิจารณ์ ประชามติ หรือประชา กรณีการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมาย


        ข้อถกเถียงที่ว่าประเทศไทยควรจะมีการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เป็นข้อถกเถียงที่มีมายาวนานกว่า ๑๐ ปี ผ่านรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย แต่ยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แม้ในอดีตประเทศไทยจะเคยมีการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายอย่างถาวร แต่ก็ได้มีการยกเลิกบ่อนการพนันดังกล่าวไปนานแล้ว ในปัจจุบันบ่อนการพนันจะเปิดให้เล่นได้เฉพาะการพนันบางรูปแบบที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น และโดยทั่วไปก็เปิดได้เป็นบ้างวันและบ้างช่วงเวลาเท่านั้น

        ในขณะที่บ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายที่มีการถกเถียงกันนี้ หากกฎหมายยอมให้เปิดจริงจะเป็นรูปแบบการพนันที่ถาวร ข้อถกเถียงเรื่องบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายกลับมาโด่งดังอีกครั้งเมื่อนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองที่ว่าประเทศไทยน่าจะมีการพิจารณาเปิดบ่อนการพนันโดยชอบด้วยกฎหมายในรูปแบบของเอนเตอร์เทรนเมนต์คอมเพค ซึ่งเป็นศูนย์รวมแหล่งบันเทิงครบวงจร ซึ่งในนั้นจะประกอบด้วยบ่อนการพนันด้วย

        บ่อนการพนันนั้น ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นบ่อนการพนันอยู่ดี สุภาษิตไทยดั้งเดิมที่ว่า “ไฟไหม้สิบครั้งไม่เท่าเล่นการพนันเพียงครั้งเดียว” ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ เพราะไฟไหม้ยังคงเหลือที่ดินให้ใช้ทำมาหากินได้ต่อไป แต่หากเล่นการพนันเสียแล้ว แม้ที่ดินก็ไม่อาจจะเหลืออยู่ เพราะมีการขายนำเงินไปเล่นการพนัน

        ข้อดีหรือประโยชน์ที่มีการเสนอเพื่อสนับสนุนแนวคิดในการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นก็มีอยู่หลายประการ ที่สำคัญได้แก่ข้อสนับสนุน ดังต่อไปนี้

(๑) แก้ปัญหากระแสเงินที่ไหลออกไปต่างประเทศ จากมูลเหตุที่คนไทยไปเล่นการพนันในบ่อนการพนันในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเปิดบ่อนการพนันตามแนวชายแดน เมื่อมีการเปิดบ่อนการพนันในประเทศไทย ผู้เล่นก็จะเล่นในประเทศไทย ทำให้เงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศ

(๒) รัฐสามารถเก็บรายได้จากบ่อนการพนันมาใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยนำภาษีจากบ่อนการพนันมาใช้ในกิจการที่เป็นการพัฒนาประเทศ

(๓) บ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายจะช่วยขจัดปัญหาผู้มีอิทธิเถื่อน และควบคุมการใช้บ่อนการพนันเป็นแหล่งในการฟอกเงิน

(๔) ผลดีอื่น ๆ เช่น มีการจ้างงานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากบ่อนการพนันถูกบังคับให้เปิดดำเนินการในพื้นที่ที่ไม่อาจประกอบกิจกรรมทางด้านเกษตรกรรมได้ เช่น จังหวัดที่มีพื้นที่แห้งแล้งในภาคอีสาน เป็นต้น และยังทำให้มีการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น

        ส่วนข้อเสียของการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นก็มีอยู่หลากหลายประการ ที่สำคัญเช่น

(๑) ในด้านเศรษฐศาสตร์ แม้จำนวนเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจบ่อนการพนันจะมีจำนวนมาก แต่นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่า การพนันไม่มีคุณค่าในทางเศรษฐศาสตร์ เพราะไม่ใช่การผลิต เป็นเพียงการโอนเงินจากคนหนึ่งไปสู่กระเป๋าอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่การผลิตสินค้าหรือบริการใด ๆ จึงไม่มีการเพิ่มคุณค่าใด ๆ แก่สังคมจากการเล่นพนัน

(๒) ในด้านชุมชน บ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมาย จะส่งเสริมไม่ทางตรงก็ทางอ้อมให้คนในชุมชนนั้น สนใจที่จะเข้าไปเสี่ยงโชคจากการพนัน โดยไม่ทำมาหากินอย่างอื่น แล้วเมื่อเสียเงินจากการพนัน บุคคลดังกล่าวก็อาจจะแสวงหาเงินทองโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กลายเป็นอาชญากร และก่อให้เกิดปัญหาของชุมชนได้

(๓) เหตุผลอื่น ๆ เช่น เงินรายได้ที่ได้จากการเก็บภาษีบ่อนการพนันยังไม่ชัดเจนว่าจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในกิจการใด บ่อนการพนันเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของศาสนา

        การเปิดบ่อนการพนันจึงอาจมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี แต่สิ่งที่จะต้องดำเนินการในเรื่องนี้ คือ รัฐบาลเองแม้จะได้เป็นผู้จุดไฟเรื่องนี้ให้อยู่ในความสนใจ แต่รัฐบาลเองก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะดำเนินการเสนอกฎหมายให้มีการเปิดบ่อนการพนันโดยเสรีหรือไม่ บางครั้งประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาเป็นการต่อสู้ทางการเมือง ถึงขั้นที่มีการท้าทายให้กำหนดเป็นนโยบายว่า ถ้าเห็นชอบกับการเปิดบ่อนการพนันให้เลือกพรรคไทยรักไทย แต่หากไม่เห็นชอบให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายกรัฐมนตรีไม่รับคำท้าที่จะกำหนดไว้เป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทย

        ผู้เขียนเห็นว่า การเปิดหรือไม่เปิดบ่อนการพนันให้ชอบด้วยกฎหมายอย่างถาวรนั้น เป็นปัญหาที่น่าจะถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจของประเทศไทย เพราะประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมา เรามีปัญหาในด้านการตัดสินใจ โดยมีการตัดสินใจที่ล่าช้า ความล่าช้าในการตัดสินใจดังกล่าวนั้น บางครั้งทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการแข่งขันและสิ่งอื่นที่ควรจะได้รับ ตัวอย่างเช่น กรณีการตัดสินใจในการสร้างรถไฟใต้ดิน มีการถกเถียงว่าสร้างไม่ได้ในกรุงเทพ เพราะพื้นดินกรุงเทพอ่อน ทำให้ต้องสร้างรถไฟฟ้าลอยฟ้า แต่ท้ายสุดก็ตัดสินใจสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือกรณีการขุดคอขอดกระที่ภาคใต้ ซึ่งก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

        หน้าที่ของผู้เป็นรัฐบาล คือ การตัดสินใจในการบริหารประเทศ สิ่งใดชัดเจนรัฐบาลก็ตัดสินใจได้ หากตัดสินใจผิดพลาดในเชิงนโยบาย โดยไม่มีปัญหาการคอรัปชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษารัฐบาลที่กระทำการผิดพลาดดังกล่าวผ่านการเลือกตั้งครั้งถัดไป แต่หากความผิดพลาดให้อภัยได้ รัฐบาลก็ยังคงกลับมาเป็นรัฐบาลได้อยู่ต่อไป แต่ปัญหาใดยังไม่ชัดเจนในแง่ผลดีผลเสีย สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือ ศึกษาเรื่องนั้นให้ชัดเจน หากศึกษาแล้วยังไม่แน่ใจ กระบวนการชุดท้าย คือ การรับฟังความเห็นจากเจ้าของประเทศ ซึ่งได้แก่ประชาชน ผ่านกระบวนการที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) ได้กำหนดไว้ คือ การออกเสียงประชามติ

        ประชามตินั้นจะมีความแตกต่างกับประชาพิจารณ์ โดยประชาพิจารณ์จะเป็นเครื่องมือของรัฐในการที่รัฐใช้ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการตัดสินดำเนินการโครงการของรัฐ เช่น การสร้างโรงไฟฟ้า การสร้างเตาเผาขยะ เป็นต้น แต่กระบวนการประชาพิจารณ์มักจะใช้สำหรับการรับฟังความคิดเห็นในผลกระทบที่สามารถกำหนดขอบเขตของผู้ได้รับผลกระทบได้ โดยมีการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาชพิจารณ์

        ในขณะที่กระบวนการประชามติ จะเป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องที่สำคัญและกระทบต่อคนทั้งชาติ การดำเนินการประชามติมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ

        หากพิจารณาถึงลักษณะของการประชาพิจารณ์และประชามติข้างต้นแล้วจะเห็นว่า หากรัฐบาลต้องการรับฟังความเห็นเรื่องการเปิดบ่อนเสรี ก็ควรจะต้องดำเนินการในรูปแบบการจัดให้มีการออกเสียงประชาชมติ

สำหรับการออกเสียงประชามตินั้นมีเงื่อนไขและขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
(๑) เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเรื่องใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศและประชาชน ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือการเปิดบ่อนการพนันโดยชอบด้วยกฎหมาย คณะรัฐมนตรีจะต้องมีมติเห็นชอบให้มีการออกเสียงแสดงประชามติ หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อกำหนดให้มีการออกเสียงประชามติ

        อย่างไรก็ดี การดำเนินการตามข้อ ข้างต้นนี้ นายกรัฐมนตรี “อาจ” ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา ก็ได้

(๒) การประกาศให้มีการออกเสียงประชามติจะต้องกำหนดวันให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ซึ่งจะต้องไม่ก่อนเก้าสิบวันและไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

(๓) วันออกเสียงประชามติต้องเป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ

(๔) เมื่อประกาศวันออกเสียงประชามติแล้ว รัฐจะต้องดำเนินการให้บุคคลฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบกับกิจการดังกล่าว แสดงความเห็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน

(๕) ผู้ที่มีสิทธิในการออกเสียงประชามติ โดยหลักคือ ผู้ที่มีสัญชาติไทยที่มีอายุไม่น้อยกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ในวันที่ ๑ มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้งและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน นับถึงวันประชามติ

(๖) ผลผูกพันของการออกเสียงประชามติ ในกรณีที่ปรากฏว่ามีผลมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติมีจำนวนไม่มากกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ กฎหมายถือว่า โดยเสียงข้างมากไม่เห็นชอบด้วยกับเรื่องบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากมีประชาชนมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติมากกว่าหนึ่งในหน้าของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ และปรากฏว่าผู้ออกเสียงประชามติโดยเสียงข้างมกให้ความเห็นชอบ กฎหมายถือว่าประชาชนเห็นชอบด้วยกับการเปิดบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ว่าผลการออกเสียงประชามติจะออกมาในรูปแบบใด รัฐธรรมนูญก็กำหนดให้ผลดังกล่าวเป็นเพียง “คำปรึกษา” ที่รัฐบาลรับฟังแต่ไม่จำต้องปฏิบัติตามหรือจะปฏิบัติให้แตกต่างกับผลการออกเสียงประชามติดังกล่าวก็ได้

        เมื่อขั้นตอนและผลของการออกเสียประชามติเป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็มีข้อที่ควรจะพิจารณาอย่างยิ่งก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจเลือกใช้การออกเสียงประชามติ ซึ่งแม้ข้อดีจะมีอยู่ตรงที่เป็นการฟังความเห็นของประชาชนทั้งประเทศก็ตาม คือ

        ประการแรก ค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการออกเสียงประชามตินั้น ทางเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้สัมภาษณ์ว่า จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งค่อนข้างจะสูง ประกอบกับผลการออกเสียงประชามติเป็นเพียง “คำปรึกษา” เท่านั้น จึงทำให้อาจมองได้ว่าไม่น่าจะคุ้มค่า แต่ถ้ามองอีกมุมก็อาจคุ้มค่าก็ได้ เพราะปัญหาที่มีการตัดสินใจ ย่อมจะคุ้มค่ากว่าปัญหาที่ไม่มีการตัดสินใจ

        ประการที่สอง รัฐบาลควรจะต้องนำเสนอรูปแบบของบ่อนการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายในกรณีที่จะใช้วิธีการในการออกเสียงประชามติเพื่อให้ประชาชนพิจารณาล่วงหน้า หรืออาจจำเป็นต้องเสนอความเห็นของรัฐบาลต่อสาธารณชน เพื่อรับฟังความคิดเห็น ก่อนที่จะมีการนำรูปแบบนั้นไปกำหนดให้ประชาชนลงมติในการออกเสียงประชามติ

        ประการที่สาม เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่มีการเสนอโดยบางท่าน ให้กำหนดการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันที่มีการเลือกตั้งทั่วไป แม้จะมีเจตนาดีที่ต้องการประหยัดนโยบาย แต่คงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการออกเสียงประชามติ เพราะในการออกเสียงประชามตินั้น รัฐธรรมนูญมีการกำหนดจำนวนขั้นต่ำของผู้มาออกเสียงประชามติไว้ว่า หากไม่ถึงจำนวนดังกล่าวถือว่าประชาชนไม่ให้ความเห็นชอบ ซึ่งหากกำหนดวันประชามติไว้วันเดียวกับวันเลือกตั้งทั่วไป บทบัญญัติมาตราดังกล่าวก็คงไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ เพราะการเลือกตั้งมีกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ คนย่อมมาเลือกตั้งจำนวนมาก เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ในขณะที่การออกเสียงประชามติ เป็น “สิทธิ” การไม่ไปออกเสียงประชามติไม่มีสภาพบังคับใด ๆ ในทางกฎหมาย

        ไม่ว่าท้ายที่สุดรัฐบาลจะเลือกใช้การรับฟังความเห็นของประชาชนผ่านกระบวนการประชามติหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมต้องตระหนัก คือ บ่อนการพนันนั้น คงไม่มีใครยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่หากไม่สามารถขจัดให้หมดไปจากสังคมได้ การทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วรัฐเข้ามาควบคุม แล้วนำรายได้มาพัฒนาประเทศนั้น เป็นสิ่งที่สังคมต้องร่วมกันพิจารณา เพราะแม้บ้างกิจการที่รัฐดำเนินการ เราท่านทั้งหลายอาจเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่สิ่งไม่ดีบ้างสิ่งนั้น รัฐก็ “จำเป็น” ต้องเข้ามาดำเนินการ เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุม ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ชัดเจนก็คือ การสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่รัฐก็จำเป็นต้องตั้งโรงงานยาสูบ สังกัดกระทรวงการคลังเพื่อผลิตบุหรี่ขาย แต่โรงงานยาสูบก็ไม่เคยสูญเสียหรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีงบโฆษณาขายบุหรี่ที่ผลิต ซึ่งแตกต่างไปจากยาสูบที่ผลิตโดยเอกชน


--------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

โดย รองศาสตราจารย์มานิตย์ จุมปา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประเภทของหน้า: บทความกฎหมาย