นิมิตชี้ทางดำเนิน (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
16/03/2008
ที่มา: 
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9127

นิมิตชี้ทางดำเนิน
โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 (เช้า)

พระพุทธเจ้าสอนตั้งแต่เรื่องมรรค เรื่องผล เรื่องบุญ เรื่องกุศลมรรคผลนิพพาน สอนลงในบทใดบาทใด สอนแต่เรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องกุศล มรรคผลนิพพานทั้งนั้น แต่พวกเราพอใครจะพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานนี้เป็นบ้ากันไปเลยนะ มันหยาบขนาดนั้นนะ เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาโมฆะ สอนธรรมไว้เป็นโมฆะทั้งหมด

แต่สิ่งที่เต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา เผาหัวใจโลกอยู่ก็เฉพาะกิเลสเท่านั้น เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ ถึงน่าสลดสังเวชนะ ผู้จะสอนก็อ่อนใจจะสอน เพราะหนาแน่นไปด้วยกิเลส กิเลสหนาขึ้นทุกวันๆ เยาะเย้ยธรรมะพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นของจริงล้วนๆ และเป็นเครื่องปราบมัน มันเยาะเย้ยได้อย่างสบาย

พูดถึงเรื่องมรรคเรื่องผลนี่ โห ขยะแขยง เป็นลักษณะสะอิดสะเอียนไป ถ้าพูดถึงเรื่องกิเลสแล้วเมามันเป็นบ้าไปเลย นี่ซิมันน่าสลดสังเวช จะไม่ให้พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยได้ยังไง เมื่อเป็นขนาดนั้นแล้ว มันหนามันแน่นขึ้นทุกวันๆ แล้วเครื่องส่งเสริมมันก็ส่งเสริมขึ้นทุกวันทีเดียวนะ ที่จะตัดทอนมันลงเรายังมองไม่เห็น มองไปไหนก็ไม่เห็น เห็นแต่เครื่องส่งเสริมกิเลสทั้งนั้นๆ เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าบ้านนอกในเมืองที่ไหน ประเทศเขาประเทศเรา มีแต่พวกตั้งหน้าตั้งตาส่งเสริมกิเลส โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้สั่งสมกิเลสส่งเสริมกิเลสๆ เครื่องเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้

เพราะฉะนั้นโลกมันถึงได้ร้อน คนมีมากมายขนาดไหนจะมีความหมายอะไร มีแต่ไฟเผาอยู่อย่างนั้นเหมือนกองฟืน กองฟืนกองเท่าภูเขามีความหมายอะไร มีแต่ไฟเผาอยู่อย่างนั้น อันนี้คนทั้งคนมันก็เป็นเหมือนกับท่อนฟืนทั้งท่อนๆ ให้กิเลสมันเผาเอา กิเลสเป็นไฟเผาอยู่ทั้งวันทั้งคืน มีความหมายอะไรมนุษย์เรา

พิจารณาซิ ยังดีดดิ้นเป็นบ้าหาอะไรกันนักหนา ใครจะได้ความสุขมาอวดสักหน่อยเราไม่เห็นมีนี่ ถ้าว่ากิเลสเป็นของดิบของดี ความโลภเป็นของดี ความโกรธเป็นของดี ราคะตัณหาเป็นของเลิศเลอแล้ว เอามาอวดบ้างซิ ความสุขที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ ไม่เห็นนี่นะ เห็นแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้โลกอยู่เวลานี้

มรรคผลนิพพานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นน้ำดับไฟไม่มีใครเหลียวแล มีแต่ปัดหัวเจ้าของไฟเผาเจ้าของ เอาน้ำสาดลงไปไม่ยอมสาด นี่ละศาสนาจะหมดๆ เพียง ๒,๕๐๐ ปีนี้เห็นได้ชัดเจนมากทีเดียว ชาวพุทธเรานี้ พุทธบริษัท ๔ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีแต่พวกทำลายศาสนาทั้งนั้น ทำลายตัวเองนั่นแหละจะไปทำลายที่ไหน ใครจะหาเอาไฟไปเผาคัมภีร์ มันเผาเจ้าของนั่นน่ะ ด้วยความไม่สนใจในสิ่งที่ว่าผิดหรือถูกประการใด พอจะแก้จะไขจะถอดจะถอนดัดแปลงกันบ้าง มันไม่คิด มีแต่ไฟเผาเจ้าของตลอดเวลา มองไปไหน โอ๊ย สลดสังเวชนะ

๒,๕๐๐ ปีที่ท่านทรงแสดงไว้ว่า ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมาะสมแล้ว สมกับพระญาณหยั่งทราบไว้เรียบร้อย ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้น คำว่าบุญ ว่าบาป ว่านรกสวรรค์นี้ไม่มีในหัวใจสัตว์โลกเลย แต่เรื่องของกิเลสท่วมท้นๆ นี่ละที่ว่าศาสนาหมด ไม่ได้หมดในคัมภีร์ใบลานนะ มันหมดที่หัวใจสัตว์โลกที่จะยอมรับความจริง รับตั้งแต่ของปลอมทั้งนั้น ของปลอมมันก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ล่ะซิ โห ผู้ที่จะส่งเสริมศีลธรรมมีน้อยมากนะ น้อยจนจะมองไม่เห็น ผู้สั่งสมส่งเสริมฟืนไฟเผาไหม้ตัวเองและส่วนรวมนี้มากแสนมาก ไปที่ไหนมีแต่กิริยาแสดงอันเดียวๆ เจ้าของไม่รู้นะ ไม่รู้ตัวว่าได้ส่งเสริมว่าได้สั่งสมฟืนไฟเผาไหม้ตัวเองและส่วนรวม กิริยาที่ทำมันเป็นเรื่องนั้นทั้งนั้น นั่นละเห็นไหมละเอียดไหมกิเลส เราผู้ทำเองไม่รู้ว่าเราส่งเสริมสั่งสมกิเลสเผาเราเอง เราไม่รู้

จึงว่าอัศจรรย์พระพุทธเจ้าละซิ อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาพระองค์เดียว ไม่มีใครแนะนำสั่งสอน ขึ้นมาจากพื้นปฐพีลึกแสนลึก โผล่ขึ้นมาได้สบาย ไม่มีใครสั่งสอนแม้อรรถเดียวธรรมเดียวแหละ พอผุดขึ้นมาได้ปึ๋งนี้ก็เรียกว่าประกาศกังวานขึ้นเลย ตรัสรู้ พ้นแล้วจากมหันตทุกข์ มหันตโทษจากนรกของสัตว์ ได้หลุดพ้นมาหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไม่มีเหลือ แล้วใครไปบอกพระองค์ล่ะ พระองค์ตรัสรู้ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าไปถามใคร

นี่อีกข้อหนึ่งนะ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสรู้ขึ้นมาเพียงพระองค์เดียวๆ นั้น มีพระองค์ใดบ้างไปถามใครว่า ข้าได้ตรัสรู้ เป็นความแน่นอนไหม ความสงสัยมีไหมในพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ องค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาก็ปึ๋ง ประกาศกังวานกันขึ้นเลยๆ นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้ประจักษ์ในหัวใจประกาศกังวานขึ้นในวาระสุดท้าย นั่นละพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ประกาศกังวานขึ้นในตัวเอง พร้อมแล้วพร้อมทุกอย่าง แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลถามหาอะไรของอันเดียวกัน อย่างเดียวกัน ประกาศกังวานขึ้นเต็มหัวอกด้วยกันถามกันทำไม นั่นละธรรมที่เป็นของจริงจริงอย่างนั้น ไม่ได้ไปหาถามใครแหละ

เราประกาศตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนซิ บ่นออกมาปากไหนก็น่าตีปาก บ่นออกมาปากไหนมีแต่ปากเป็นฟืนเป็นไฟออกมา เผาไหม้ออกมาจากหัวใจ บ่นเรื่องนั้นแล้วบ่นเรื่องนี้ ยุ่งเรื่องนั้นแล้วยุ่งเรื่องนี้ ตีปากวันยังค่ำมือหักเฉยๆ มันยังไม่ครบปากคนเข้าใจไหม ตีปากคนมันบ่นเก่ง ตีปากยังไม่ได้ครบปากเลยมือหักก่อนแล้ว นั่นละถ้าเรื่องกองทุกข์พวกเราเป็นผู้เหมา จะว่ายังไงกันพิจารณาซิ ไม่เอาธรรมไปดับไม่ได้นะ ผิดตรงไหนให้รีบแก้เจ้าของเสีย นั่นละเรียกว่าน้ำดับไฟดับตรงนั้น ผิดไม่ยอมแก้ เอาแต่ตามความทะเยอทะยาน ความอยาก ความดีดความดิ้น ดิ้นเท่าไรก็ยิ่งพันเข้าไปเหมือนลิงทอดแหนั่นแหละ นิทานนี้เป็นนิทานอีสปหรือไง

มันมาจากธรรมทั้งนั้นนะ ที่มาในนิทานอีสปมาสอนนักเรียนนี่ เอาเป็นคติมาจากธรรม โน่นเวลาเราเรียนทางธรรมะถึงไปเห็นอยู่ในคัมภีร์ อ๋อ นี่เอาออกมาจากนี้ ๆ เอามาสอนเขาเรียกนิทานอีสป เราก็เคยได้อ่าน เรื่องลิงทอดแหเราก็เคยได้อ่าน ลิงมันอยู่บนต้นไม้ เห็นคนทอดแหอยู่มันก็ดู ทีนี้พอเขาหยุดพักเขาก็เอาแหวางไว้นั้น เขาก็เลยพักรับประทานอาหารกันบนบกโน่น ลิงก็ลงมาจากต้นไม้มาจับแหเหวี่ยงเลย เหวี่ยงมันก็พันลิงลงจมน้ำตายเลย นั่นละสิ่งที่สุดวิสัยของตนไปทำเข้ามันเกิดโทษ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าสิ่งที่ผิดวิสัยของตนไปทำเข้ามันเกิดโทษ

ความผิดมันผิดวิสัยของมนุษย์ เราที่เป็นชาวพุทธอย่าไปทำมันจะพันหัวเอา เหมือนแหพันลิงเข้าใจหรือเปล่า นี่ยกข้อเปรียบเทียบมาไว้นี้มีในนิทานในชาดกนะ เอาออกมาจากชาดก ไปเห็นข้างในโน้นถึงได้รู้ โอ๊ หนังสือที่เอาออกไปสอนนักเรียนนั้นส่วนมากเป็นคติธรรมๆ ท่านเป็นนักปราชญ์นี่ เอาออกมาเป็นคติเครื่องสอนเด็ก อย่างนิทานไก่แจ้เหล่านี้ก็เหมือนกัน หลายนิทานชื่อเรื่องหนังสืออะไรนาเราจำชื่อไม่ได้ ที่เอาออกมาจากบทธรรมมาเป็นคติเครื่องสอนนักเรียน สอนครูด้วยสอนผู้ใหญ่ด้วย เวลาไปเห็นในหนังสือถึงได้รู้ อ๋อ ออกมาจากคัมภีร์นี้ๆ ไม่ใช่เอาออกมาอย่างลอยๆ นะ ออกมาจากชาดก นิทานไก่แจ้ก็เหมือนกันออกมาจากชาดก

ไก่แจ้ตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยเม็ดหนึ่งงามดีมีค่ามาก จึงร้องเปรยๆ ขึ้นว่า นี่ถ้าเจ้าของของเจ้ามาพบเจ้าเข้าเช่นนี้ เขาคงเก็บเจ้าไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม แต่นี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรสู้ข้าวสุกข้าวสารเมล็ดเดียวก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็คุ้ยเขี่ยเลยไปในทางอื่น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของที่ดีย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รู้จักใช้เท่านั้น นั่น อันนี้มันจำได้เองนะแล้วก็เลยไม่ลืมจนกระทั่งทุกวันนี้ มาเป็นหลวงตาแล้วก็ยังไม่ลืมไก่แจ้

นี่ข้อเทียบเคียงว่าไง ถ้าเห็นศีลเห็นธรรมเห็นคุณงามความดีที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นเหมือนเพชรเหมือนพลอยแล้ว ไม่ใช่วิสัยของไก่แจ้พวกเรานี่ พวกเรานี่พวกไก่แจ้ เจ้าของก็คือผู้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ผู้ฉลาดแหลมคมในธรรมทั้งหลายนั้นละ จะเอาไปฝังไว้ในหัวแหวนคือในหัวใจ อย่างนั้นละหากินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น คุ้ยเขี่ยหานั้นหานี้ คุ้ยเขี่ยหาที่ไหนก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้เจ้าของ บ้านนี้ก็ไหม้บ้านนั้นก็ไหม้ สังคมนี้มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไปหมด แต่คุ้ยเขี่ยทั้งวันนะ วิ่งเต้นขวนขวายหาอยู่หากินแทบเป็นแทบตาย ครั้นสิ่งที่ได้มาก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเสีย ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด ของไม่เป็นประโยชน์มันเป็นโทษแก่ตัวเองอย่างนั้นแหละ ของที่ดีก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รู้จักใช้ดังที่ธรรมท่านแสดงไว้นั้น เขาอ้างชาดกมาเหมือนกัน

ในหนังสือพิมพ์บางฉบับเขาเอาออกมา เราก็เคยเห็นแล้ว เขาเอาออกมาก็มี แต่เราเห็นแล้ว มันเรียนมากนะไม่ใช่คุย เวลาเรียนเรียนจริงๆ ไม่ใช่เพียงชั้นเรียนเท่านั้นนะ ค้นพระไตรปิฎกเพราะตั้งใจจะออกปฏิบัติเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น เราจะเรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่พอจำได้เราจะจำ เราจะจดฟุทโน๊ตคัดเอาไว้ๆ มีสมุดเล็กๆ คัดเอาไว้ในนั้นๆ อันนี้มาจากเล่มนั้นๆ ชาดกเล่มนั้นๆ หน้าที่เท่านั้น จดไว้ๆ เวลาเราต้องการความพิสดารเราก็ไปเปิดดูง่ายๆ นี่เราจด แต่ส่วนมากพอมองเห็นที่คัดไว้เท่านี้มันก็เข้าใจไปหมดแล้ว เพราะอ่านมาแล้วนี่ก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นดูพระไตรปิฎกละ เพราะฉะนั้นเวลาหนังสือผ่านมาที่ไหนๆ ถึงรู้ทันทีๆ เพราะได้อ่านมาหมด มันอยู่ในข่ายของพระไตรปิฎกทั้งนั้นละ