ชนเผ่ากะเหรี่ยง-ตำนานการเกิดของกะเหรี่ยง

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
03/04/2008
ที่มา: 
http://www.karencenter.com/

 ตำนานการเกิดของกะเหรี่ยง
เล่าต่อ ๆ กันมาว่า สมัยก่อนมีนางฟ้า มีสวรรค์ ครั้งหนึ่งดินที่โลกอบอวลหอมฟุ้ง นางฟ้าได้กลิ่นทนไม่ไหวลงมากินดินที่โลกมนุษย์ กินแล้วฤทธิ์เสื่อมบินกลับสวรรค์ไม่ได้ ต่อมาท้องเกิดลูก 7 คน กะเหรี่ยงเป็นพี่ชายคนโต น้อง ๆ มี เจ๊ก ฝรั่ง มอญ ฯลฯ  กะเหรี่ยงเป็นคนซื่อ ขยัน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ผิดกับฝรั่งผู้น้อง วันหนึ่งแม่ให้หนังสือ กะเหรี่ยงมัวแต่ดายหญ้าไม่ได้ไปเอา น้อง ๆ หยิบเอามาให้ก็ให้วางไว้บนตอไม้ ตนเองดายหญ้าเพลินจนเย็นก็กลับบ้านลืมหยิบหนังสือมาด้วย เจ๊กผู้น้องมาเห็นในวันหลังจึงเอาไป หนังสือเสียสภาพถูกสัตว์แทะ แดดฝนไปมาก แต่ก็ทำให้จีนมีความรู้ กะเหรี่ยงยังโง่อยู่เช่นเดิม(1)
กะเหรี่ยงในพม่าและในไทยมีตำนานเล่าคล้ายๆ กันว่า กะเหรี่ยงเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุดในพี่น้อง 7 คน วันหนึ่งเมื่อพ่อเจ้า (Father-God) ใกล้จะตาย ได้เรียกลูกทั้งหลายเข้าไปใกล้เตียงนอนเพื่อมอบคัมภีร์ให้ พี่น้องมากัน 6 คน คนโตที่สุดคือกะเหรี่ยงไม่ได้มา เพราะมัวยุ่งกับงานคือถางหญ้าในไร่ เมื่อพี่น้อง 6 คน มาถึงพ่อเจ้าก็ตายและมอบคัมภีร์ไว้ โดยมอบให้ลูกคนเล็กเก็บรักษาและนำไปให้พี่ชายคนโต ลูกชายคนเล็กสุดเห็นว่าคัมภีร์มีค่ามากและสามารถรู้เหตุการณ์เบื้องหน้าได้ จึงอยากได้ไว้เป็นของตน จึงลอกคัมภีร์อีก 1 ชุด ทำด้วยหนังสัตว์ ส่วนของพี่ชายคนโตที่เขาเก็บต้นฉบับไว้เป็นแผ่นทำด้วยทองคำ เขาบอกให้พี่ชายรับคัมภีร์ไป แต่พี่ชายมัวยุ่งกับการถางหญ้าเลยบอกให้น้องชายวางคัมภีร์โดยแขวนไว้บนกิ่งไม้ น้องชายคนสุดท้องจึงวางคัมภีร์โดยแขวนไว้บนกิ่งไม้ดังพี่ชายสั่ง และเขาก็กลับไปด้วยความดีใจ
ในตลอดฤดูฝนพี่ชายคนโตก็ลืมคัมภีร์คงทิ้งแขวนไว้บนต้นไม้ จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูฝนจึงจำได้ว่าเขาทิ้งให้คัมภีร์แขวนไว้บนต้นไม้จึงรีบไปดูคัมภีร์ที่ต้นไม้แต่คัมภีร์แผ่นหนังสัตว์นั้นอักษรบนคัมภีร์ชำรุดหมดแล้ว เพราะพวกนกได้ลากทึ้งลงสู่พื้นล่างและถูกสุนัขกัดจนเละ เขาโกรธแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโค่นต้นไม้นำมาเผาเป็นถ่าน ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าพวกเขาได้รับพรสวรรค์ในการทำนายอนาคต เขาจึงใช้การอ่านจากรอยข่วนในถ่าน พบว่าการทำนายเหตุการณ์ในอนาคตบางส่วนถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่าการอ่านของเขามีเหตุผลอย่างถูกต้องถ้าเขาใช้กระดูกไก่ เพราะรอยเขี่ยของไก่คล้ายรอยข่วนในถ่าน และตัวอักษรที่เห็นในคัมภีร์ก่อนเผาก็คล้ายรอยเขี่ยของไก่ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มฆ่าไก่เพื่อเอากระดูกไก่มาทำนายอนาคต(2) การปฏิบัติเช่นนี้ยังคงเป็นของชนชาติกะเหรี่ยงทุกวันนี้ (3)
มีเรื่องเล่าปรัมปราของกะเหรี่ยงแสดงสาเหตุที่กะเหรี่ยงไม่มีตัวหนังสือ เป็นเพราะเมื่อพระเจ้านำหนังสือมาให้มนุษยชาตินั้น กะเหรี่ยงซึ่งเป็นพี่คนโตมัวแต่วุ่นทำงานในไร่ พระเจ้าจึงวางหนังสือไว้ให้บนตอไม้ ไก่ไปคุ้ยเขี่ยหนังสือนั้นเสียหายหมด ส่วนคนเผ่าอื่นซึ่งเป็นน้องรอง ๆ ลงไปได้รับหนังสือทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง แต่น้องผิวขาว (ฝรั่ง) ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องไม่ต้องทำงานนั้น ได้รับหนังสืออย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีเรื่องเล่าต่อไปว่า ในสมัยหลังน้องจะกลับมาช่วยพี่โดยนำหนังสือเงินหนังสือทองมาให้ มิชชันนารีได้ฟังนิยายปรัมปรานี้ก็เลยต่อเรื่องให้ว่า ฝรั่งผิวขาวนี่แหละคือน้องสุดท้องที่จะมาช่วยและหนังสือเงินที่ว่านั้นก็คือหนังสือรวบรวมเพลงสวด หนังสือทองก็คือพระคัมภีร์ไบเบิล(4) มีนิทานตำนานมากมายที่กล่าวถึงกะเหรี่ยงพี่ชายคนโตว่าเป็นคนขยัน ซื่อ และโง่ ผิดกับน้องคนสุดท้องคือฝรั่งซึ่งฉลาดและเอาเปรียบกะเหรี่ยงอยู่ตลอด

นอกจากนี้มีนิทานแบ่งพี่น้องออกเป็น 3 พวก คือ

เดิมอยู่ที่เมืองทวาย ประเทศพม่ามีพี่น้องรวมกัน 3 พวก คือ กะเหรี่ยงเป็นพี่ใหญ่ กะหร่าง(5)เป็นน้องคนกลาง และตองสูเป็นน้องคนเล็ก พี่น้องทั้งสามนี้ได้สัญญาว่าจะรักใคร่เป็นพี่น้องกันตลอดไป ได้ของสิ่งใดมาก็จะแบ่งปันกัน ทั้งสามพี่น้องจึงอยู่ร่วมกันมาอย่างเป็นสุข
อยู่มาวันหนึ่งกะเหรี่ยงกับกะหร่างได้เม่น 1 ตัว จึงเอามาฆ่าแบ่งเนื้อกันที่ลำห้วย โดยไม่ได้แบ่งให้ตองสูน้องคนเล็กเพราะว่าเนื้อเม่นนั้นมีน้อย ต่อมาตองสูได้มาที่ลำห้วยพบขนเม่นที่ทิ้งไว้ก็รำพึงว่า "พี่เราทั้งสองคนได้เนื้ออะไรมาหนอ ไม่แบ่งให้เราบ้างเลย วัวกระทิงตัวใหญ่ขนยังเล็กนิดเดียว แต่ขนที่เห็นอยู่นี้ใหญ่กว่าขนกระทิงมาก ตัวก็คงใหญ่มากเช่นกัน" ตองสูคิดดังนั้นแล้วก็น้อยใจมากว่าพวกพี่ๆไม่รัก ไม่รักษาสัจจะวาจา อยู่ร่วมกันต่อไปคงจะไม่เป็นสุขแน่ จึงอพยพหนีพี่ทั้งสองไปโดยไม่บอกให้รู้ และไม่ให้เห็นร่องรอย ส่วนกะเหรี่ยงกับกะหร่างก็อยู่ร่วมกันเรื่อยมา(6) แต่คนตองสูกลับเล่านิทานว่ากะเหรี่ยงโป กะเหรี่ยงสะกอ และตองสูทำสัญญากันว่า ใครไปล่าสัตว์ได้เนื้อมาแล้วจะต้องแบ่งกันให้คนที่ล่าไม่ได้ วันหนึ่งตองสูล่าได้เนื้อเม่น ส่วนสะกอและโปไม่ได้อะไร ตองสูไม่ยอมแบ่งจึงถูกกะเหรี่ยงพวกอื่นว่าเป็นคนใจดำและแยกกันอยู่ตั้งแต่นั้นมา(7)

 เชิงอรรถ
1.นายมณเฑียร ศรีวนาพันธุ์ บ้านองหลุ ตำบลนาสวน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ผู้เล่า
2.ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในกะเหรี่ยงภาคเหนือ แต่กะเหรี่ยงภาคกลางไม่มีแล้ว
3.Aye Mya Kyew, A briet Outline on The Traditional Backgroud of The Lehkai (Ariya) religious sect เอกสารโรเนียว, หน้า 2-3.
4.สุริยา รัตนกุล, เพลงกะเหรี่ยง การวิจัยเรื่องภาษากะเหรี่ยง, มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า 73-74.
5.กะหร่างเป็นคนที่กะเหรี่ยงโปในภาคกลางใช้เรียกกะเหรี่ยงสะกอ ส่วนกะเหรี่ยงสะกอในภาคเหนือก็เรียกกะเหรี่ยงโปในภาคกลางว่ากะหร่างเช่นกัน โดยต่างฝ่ายต่างว่าตนเองคือกะเหรี่ยงแท้ ส่วนอีกฝ่ายไม่ใช่กะเหรี่ยงแท้ เป็นกะหร่าง
6.สมเกียรติ จำลอง, "ตำนานการอพยพของกะเหรี่ยงในเขต จ.อุทัยธานีและใกล้เคียง" , ข่าวสารสถาบันวิจัยชาวเขา 9 (ม.ค.-มี.ค. 2538) หน้า 80.
7.สุริยา รัตนกุล, เรื่องเดียวกัน, หน้า 72.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก : http://www.karencenter.com/