ที่มา:
บ้านรำไทย http://www.banramthai.com/
รำวงและรำโทน
รำวงเป็นการละเล่นอย่างหนึ่งของชาวบ้าน ที่ร่วมกันเล่นเพื่อความสนุกสนานและเพื่อความสามัคคี นิยมเล่นกันในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๘ รำวงนั้นเดิมเรียกว่า "รำโทน" เพราะได้ใช้โทนเป็นเครื่องดนตรีตีประกอบจังหวะ โดยใช้โทนเป็นจังหวะหลัก มีกรับและฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีประกอบ แต่ไม่มีเนื้อร้อง ผู้รำก็รำไปตามจังหวะโทน ลักษณะการรำก็ไม่มีกำหนดกฏเกณฑ์ เพียงแต่ย่ำเท้าให้ลงจังหวะโทน ต่อมามีผู้คิดทำนองและบทร้องประกอบจังหวะโทนขึ้น ต่อมารำโทนได้พัฒนาเป็น "รำวง" มีลักษณะคือ มีโต๊ะตั้งอยู่กลางวง ชาย-หญิงรำเป็นคู่ๆ ไปตามวงอย่างมีระเบียบ เรียกว่า "รำวงพื้นเมือง" เล่นได้ทุกงานเทศกาล ทุกฤดูกาล หรือจะเล่นกันเองเพื่อความสนุกสนาน
ในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๔ อยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เจรจาขอตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพื่อเป็นทางผ่านสำหรับลำเลียงเสบียง อาวุธและกำลังพล เพื่อไปต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยยกพลขึ้นที่ ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ จอมพล ป. พิบูลสงคารม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น จำเป็นต้องยอมให้ทหารญี่ปุ่นตั้งฐานทัพ มิฉะนั้นจะถูกฝ่ายอักษะซึ่งมีประเทศญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยนั้นปราบปราม ประเทศไทยขณะนั้นจึงเป็นจึงเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตี ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทำลาย ทำให้ชีวิตผู้คน บ้านเรือน ทรัพย์สินเสียหายยับเยิน โดยเฉพาะที่ที่อยู่ใกล้กับฐานทัพญี่ปุ่น ส่วนใหญ่แล้วฝ่ายพันธมิตรจะส่งเครื่องบินมารุกรานจุดยุทธศาสตร์ในเวลาคืนเดือนหงาย เพราะจะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ได้ง่าย ชาวไทยมีทั้งความหวาดกลัวและตึงเครียด จึงได้ชักชวนกันเล่นเพลงพื้นเมือง คือการรำโทน เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่ตึงเครียด ให้เพลิดเพลินสนุกสนานขึ้นบ้าง
การรำโทนนั้นใช้ภาษาที่เรียบง่าย เนื้อร้องเป็นเชิงเย้าแหย่ หยอกล้อ เกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว ทำนองเพลง การร้อง ท่ารำ การแต่งกายก็เรียบง่าย มุ่งความสนุกสนาน พอผ่อนคลายความทุกข์ไปได้บ้างเท่านั้น จอมพล ป. พิบูลสงครามเกรงว่าชาวต่างชาติที่ได้พบเห็นจะเข้าใจว่า ศิลปะการฟ้อนรำของไทยมิได้ประณีตงดงาม ท่านจึงได้ให้มีการพัฒนาการรำโทนขึ้นอย่างมีแบบแผน ประณีตงดงาม ทั้งท่ารำ คำร้อง ทำนองเพลง และเครื่องดนตรีที่ใช้ตลอดจนการแต่งกาย จึงเรียกกันว่า "รำวงมาตรฐาน" เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างต่อไป
เนื้อเพลงรำวง-รำโทน มีดังต่อไปนี้
เพลงช่อมาลี
ช่อมาลี คนดีของพี่ก็มา
โอ้จันทร์ไปไหน
เดือนมาแฝงแสงสว่าง
|
สวยจริงหนาเวลาค่ำคืน (ซ้ำ)
ทำไมจึงไม่ส่องแสง
เมฆน้อยลอยมาบัง (ซ้ำ)
|
เธอรำช่างน่าดู
(ช) เธอรำช่างน่าดู
(ญ) อย่ามาทำอย่ามาทำพูดจา
(ช) หวานคารมคำคมแง่งอน
(ช) รับรักฉันหน่อยได้ไหมี
|
ถ้าแม้นรำคู่จะเป็นบุญตา
ประเดี๋ยวจะว่าให้ได้อาย
(ญ) รู้ว่างอนมาวอนทำไม
(ญ) อุ้ย ไม่ได้ หวานใจเธอมี
|
ยวน ยวน ยวน
ยวน ยวน ยวน
ยักท่ามาแต่ระบำ
ยักคิ้วยักเอวยักไหล
|
กระบิดกระบวนยั่วยวนใจชาย
ฟ้อนรำหมุนเวียนเปลี่ยนไป
ตาชม้ายไม่วายแลมอง
|
ตามองตา
ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน
จะว่ารักฉันก็ไม่รัก จะว่าหลงฉันก็ไม่หลง
เธอช่างงามวิไล
|
รู้สึกเสียวซ่านหัวใจ
ฉันยังอดโค้งเธอไม่ได้
เหมือนดอกไม้ที่เธอถือมา
|
ใกล้เข้าไปอีกนิด
ใกล้เข้าไปอีกนิด
สวรรค์น้อยน้อย
รูปหล่อเขาเชิญมาเล่น
มองมานัยน์ตาหวานฉ่ำ (ซ้ำ) |
ชิดๆ เข้าไปอีกหน่อย
อยู่ในวงฟ้อนรำ
เนื้อเย็นเขาเชิญมารำ
มามารำกับพี่นี่เอย |
ยวนยาเหล
ยวนยาเหล ยวนยาเหล
จะซื้อเปลยวน ที่ด้ายหย่อน หย่อน (ซ้ำ)
|
หัวใจว้าเหว่ ไม่รู้จะเร่ไปหาใคร
จะเอาน้องนอนไกวเช้า ไกวเย็น
|
เพลงลา
ออกปากว่าจะลา น้ำตาไหลร่วง (ซ้ำ)
ด้วยถึงกำหนดหมดลา
แต่ในอุรานั้นคร่ำครวญ
|
แสนรักแสนห่วงโอ้แม่ดวงจันทรา
ขอลาแล้วเธอจ๋า
|
ข้อมูลจาก http://www.banramthai.com/