วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
04/04/2008
ที่มา: 
http://www.dontrithai.com/

ยุคสมัยของดนตรีไทย จากอดีตกาลถึงอินเตอร์เน็ต
     ไพศาล  อินทวงศ์
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   
         

             ดนตรีเป็นศิลปะที่มวลมนุษย์ยกย่องว่าเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งมวลเรียกว่าเป็นศิลปะทิพย์( The Divine art )   ซึ่งใช้กระแสเสียงที่เกิดจากการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีหรือด้วยการขับร้องเป็นสื่อ  ทำให้ผู้ที่ได้รับฟังเกิดอารมณ์สอดคล้องต้องกันไปกับเสียงเพลงนั้นๆได้
ความหมายของดนตรีและเสียง
  ดนตรีเป็นพลังงานในรูปของคลื่นเสียงที่ไม่สามารถจับต้องและมองเห็นได้  ต้องอาศัยโสตประสาทเป็นตัวรับรู้และเมื่อดนตรีเป็นพลังงาน   จิตมนุษย์จึงสามารถรับรู้และรู้สึกได้โดยไม่ต้องแปลเสียงที่ได้ยินนั้น  เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุผ่านตัวกลาง คืออากาศ  เป็นคลื่นเสียงของดนตรีในสองลักษณะคือ ความดัง  และความสูงต่ำของเสียงนั่นเองคลื่นเสียงของดนตรีที่โสตประสาทมนุษย์รับรู้ได้นั้น  ก่อให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกกับผู้ฟังใน  2 ประการคือ  ถ้าหากเป็นเสียงที่มีลักษณะประสานกันอย่างกลมกลืนราบเรียบ     และเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอมีความนุ่มนวลจะทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสบายแต่ถ้าเป็นเสียงที่มีความกระแทกกระทั้นมีเสียงที่เป็นเชิงซ้อนและเสียงดังบ้าง เสียงเบาบ้างจะทำให้ผู้รับฟังรู้สึกถูกกดดันและอึดอัด  ก็จะกลายเป็นความเครียดตามมาอีกด้วยความเป็นศิลปะทิพย์ของดนตรีดังกล่าวแล้ว ย่อมทำให้รู้สึกว่า   ดนตรีนั้นมีสิ่งที่ดีๆให้เราได้ศึกษาเรียนรู้เป็นอย่างมากทีเดียว    อาจกล่าวได้ว่าเสียงของดนตรีทั้งเครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี    และเครื่องเป่านั้น  ย่อมมีเสียงสูง – ต่ำ ต่างๆกัน    ถึงแม้ว่าเครื่องดนตรีสามารถมีเสียงต่างๆมากมายอย่างไรก็ตามตามหลักดุริยางคศาสตร์ถือว่าเสียงดนตรีมีเสียงเรียงเป็นลำดับต่างกันอยู่ 7 เสียงเท่านั้น  เสียงที่เกิน 7 ออกไปถือเป็นเสียงซึ่งซ้ำกับเสียงภายใน 7 เสียงนั่นเอง  แต่มีระดับเสียงสูงหรือเสียงต่ำกว่ากันเป็นช่วงคู่  8 – 15 – 22  ฯลฯ   เป็นลำดับกันไปเท่านั้น  ซึ่งหากพินิจพิจารณาฟังให้ดีแล้วจะพบว่าเป็นเสียงที่ซ้ำกันนั่นเองสำหรับเสียงของดนตรีไทย   ( ไม่นับเครื่องประกอบจังหวะเช่น ฉิ่ง และ โทน – รำมะนา กลองชนิดต่างๆ )   ก็มีเสียงไล่กันไปตั้งแต่เสียงต่ำไปหาเสียงสูงเป็นการเรียงเสียงที่มีความถี่ห่างเท่าๆกันทุกๆขั้น  เสียงที่ 8  ก็จะมีเสียงเท่ากับเสียงที่ 1
   มนุษย์เรานั้นมีโสตประสาทรับความรู้สึกอยู่ 5 อย่าง สำหรับประสาทที่รับฟังเรียกว่า “ โสตประสาท ”  หรือ หู  ซึ่งจะสังเกตได้ว่า โสตประสาทของแต่ละคนจะรับฟังสิ่งต่างๆได้ไม่เท่ากัน       บางคนมีโสตประสาทไวสามารถที่จะรับฟังและบอกระดับเสียงที่ได้ยินมาได้อย่างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใดเลย บุคคลเช่นนี้ต้องถือว่ามี Sense of absolute pitch อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางคนที่ฟังดนตรีไม่เป็นเอาเสียเลย คือ ไม่สามารถบอกได้ว่า เสียงอย่างไรคือเสียงสูง  เสียงอย่างไรคือเสียงต่ำบุคคลที่กล่าวถึงนี้ เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า Musical idiot  หรือ  “ โง่ทึบในการดนตรี ”  หรือการหนวกเสียงดนตรี  ( Tone deaf ) ก็ยังมีอยู่มากมายในสังคมเรานี้

                      สุนทรภู่  กวีเอกของไทยเราได้สดุดี “ การดนตรี ” ไว้ในเรื่องพระอภัยมณีว่า

                        อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป            ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุริน

                ถึงมนุษย์ครุธฑา เทวาราช                   จัตุบาท กลางป่า พนาสิน

                แม้นปี่เราเป่าไป ให้ได้ยิน                     ก็สุดสิ้น สิ่งโมโห ที่โกรธา

                ให้ใจอ่อนนอนหลับหมดสติ                 อันลัทธิ ดนตรี ดีหนักหนา

                ซึ่งสงสัยไม่สิ้น ในวิญญาณ์                 จงนิทรา เถิดจะเป่า ให้เจ้าฟัง

 

ยุคสมัยของดนตรีไทยในอดีต

       ท่านอาจารย์มนตรี  ตราโมท( ศิลปินแห่งชาติ 2528 )กล่าวว่า  “ในสมัยน่านเจ้านั้น ก็ปรากฏว่าไทยเราได้ส่งวงดนตรีหญิงไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าถ้าการดนตรีไม่มีคุณภาพสูงก็คงจะไม่ส่งไปเป็นการแสดงว่าการดนตรีของไทยเราได้เจริญมาแล้วในอดีตแต่เป็นที่น่าเสียใจที่ไม่มีหลักฐานว่าเครื่องดนตรีของไทยเราในสมัยนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไรและมีสิ่งใดบ้าง  การดนตรีตลอดจนเครื่องดนตรีของไทยเพิ่งจะมาปรากฏชัดเจนเอาก็เมื่อสมัยสุโขทัยนี่เอง ”

                    หลักฐานสำคัญที่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงการดนตรีในสมัยสุโขทัยก็คือ  หลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง   หลักที่หนึ่ง  ซึ่งนับเป็นแม่บทสำคัญโดยเฉพาะในหลักศิลาจารึกด้านที่ 2 ตอนหนึ่งว่า “ดํบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่นเล่นใครจักมักหัว หัวใครจักมักเลื้อน เลื้อน ”  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในสมัยสุโขทัยนั้นชาวบ้านชาวเมืองมีความสนุกสนานและขับร้องเล่นดนตรีมีความรื่นเริงบันเทิงใจกันอยู่ทั่วไป   คำว่า “ดํบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ ”หมายความว่า “ระดมประโคมกลองด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ ”
                     คำว่าเสียงพาทย์ น่าจะบ่งบอกถึงเครื่องบรรเลงประเภทตีและประเภทเป่า  ที่ต่อมาเรียกว่า ปี่พาทย์  ส่วนคำว่าเสียงพิณ  หมายถึงเครื่องดนตรีจำพวกที่ใช้สาย   เพื่อสำหรับดีดและสี แต่มีพิณเป็นประธานดังได้กล่าวมาแล้ว
                      ในสมัยรัชกาลพระมหาธรรมราชาลิไทมีหลักฐานที่เกี่ยวกับดนตรีที่ควรกล่าวถึงก็คือ หนังสือเรื่อง  “ ไตรภูมิพระร่วง ” มีจารึกไว้ว่า“ บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อนระบำ บันลือเพลงดุริยะดนตรี บ้างดีด บ้างสี บ้างตี บ้างเป่า บ้างขับสัพพสำเนียง เสียงหมู่   นักคุนจุนกันไปเดียรดาษ พื้นฆ้องกลองแตรสังข์ ระฆังกังสดาล มโหระทึกกึกก้องทำนุกดี ”
                       และอีกตอนหนึ่งที่กล่าวชื่นชมในพระบารมีของสมเด็จพระมหาจักรพัตราธิราชความว่า  “ แล้วแลร้อง ก้องขับเสียงพาทย์ เสียงพิณ แตรสังข์ ฟังเสียงกลองใหญ่แลกลองราม กลองเล็กแล ฉิ่งแฉ่ง บัณเฑาะว์วังเวง ลางคนตีกลอง ตีพาทยฆ้องตีกรับรับสัพพทุกสิ่ง  ลางจำพวกดีดพิณและสีซอพุงตอ แล กันฉิ่งริงรำจับระบำเต้นเล่นสาร พนักคุณทั้งหลายสัพพดุริยดนตรีอยู่ครืนเครงอลวนเวงดังแผ่นดินจะถล่ม ”
                   หลักฐานต่างๆในสมัยสุโขทัยที่กล่าวถึงดนตรีทั้งสองแหล่งนี้ นอกจากนั้นยังมีหลักฐานที่เป็นหลักศิลาจารึกภูเขาสุมนกูฎ  ปรากฏอยู่ในหนังสือประชุมจารึกสยามภาคหนึ่งในหลักที่ 8   มีข้อความระบุไว้ว่า “ทั้งสองปรากหนทางย่อมเรียงขันหมากขันพลูบูชาพิลมระบำเต้นเล่นทุกฉันด้วยเสียงอันสาธุการบูชาอีกด้วยดูรยพาทพิณฆ้องกลองเสียงดังสีพ ดังดินจักหล่มอันใส้ ”
                         ในสมัยสุโขทัยนั้นศิลปกรรมและวัฒนธรรมต่างก็ได้ถ่ายเทกันไปมาระหว่างสุโขทัยกับลานนาไทยหากเราได้พิจารณาหลักศิลาจารึกวัดพระยืน จังหวัดลำพูนพุทธศักราช 1913  มีข้อความที่กล่าวถึงการรับพระสุมนเถระซึ่งได้รับอารธนาไปจากกรุงสุโขทัยความว่า “ ให้ถือกระทงข้าวตอกดอกไม้ไต้เทียน   ตีพาทย์ดังพิณ  ฆ้องกลอง  ปี่สรไน พิสเนญชัย   ทะเทียด กาหลแตรสังข์มานกังสดาล มรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่ อื้อดาสรท้านทั่วทั้งนครหริภูญชัย แล ” ในข้อความข้างต้นนี้ จะปรากฏรายชื่อเครื่องดนตรีต่างๆที่ใช้บรรเลงอยู่ในเวลานั้นดังนี้
                          วงแตรสังข์  ประกอบด้วย สังข์ และแตรซึ่งก็คือ แตรยาวอย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่า “ แตรฝรั่ง ”  ส่วน “กาหล” ก็คือ แตรงอนทะเทียดหรือสรเทียดหมายถึงกลองสองหน้าที่ใช้ตีด้วยไม้ข้างหนึ่ง  นอกจากนั้นก็มี บัณเฑาะว์ และมโหระทึกอีกด้วย
                          รูปแบบการจัดวงดนตรีในสมัยสุโขทัยเรียกว่า “วงเครื่องห้า”โดยการเลียนรูปแบบการจัดวงตามแบบแผน ปัญจดุริยางค์ประกอบด้วย
                         ( 1 )  ปี่ในหรือปี่สรไน
                         ( 2 )  ฆ้อง เป็นลักษณะเหมือน ฆ้องทางฝ่ายเหนือ เรียกว่า เจแวง
                         ( 3 )  ตะโพน ซึ่งก็คือ มุทิงค์ หรือ มฤทิงค์ ในไตรภูมิพระร่วง
                         ( 4 )  กลองทัด เป็นกลองขนาดใหญ่
                         ( 5 )  ฉิ่ง  ในไตรภูมิพระร่วงเรียกว่า “ ฉิ่งแฉ่ง ”  ฉิ่งก็คือฉิ่งอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ ส่วนแฉ่งก็คือฉาบนั่นเอง  ในสมัยโบราณเมื่อตีเปิดมือจะฟังเสียงเป็นแฉ่ง          หากตีแล้วกดให้ประกบกันก็จะฟังเสียงเป็นฉาบได้
                      จะสังเกตเห็นได้ว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้าในสมัยสุโขทัยนั้น ไม่พบคำใดที่หมายถึงระนาดคงมีแต่ ปี่ ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด และ ฉิ่งเท่านั้น                               
                      ถึงสมัยอยุธยาซึ่งเป็นยุคที่กำลังมีศึกสงครามอยู่ตลอดเวลาทั้งสงครามภายนอกและสงครามภายใน  การดนตรีก็มิได้เจริญก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมมากนัก  ศิลปวัฒนธรรมเมื่อได้รับมาจากสุโขทัยอย่างไรก็ยังคงสภาพอยู่เช่นเดิมอย่างไรก็ตามก็เกิดวงดนตรีขึ้นอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า วงมโหรี เป็นวงดนตรีสำหรับใช้ขับกล่อมถวายพระมหากษัตริย์ให้ทรงพระสำราญและใช้ผู้หญิงเป็นผู้บรรเลงล้วนๆ  จำนวน 4 คน ดังนี้คือ

                        คนดีดพิณเรียกว่า กระจับปี่คนหนึ่ง

                        คนสีซอสามสายคนหนึ่ง

                        คนตีทับ (โทน) คนหนึ่ง

                        และคนร้องซึ่งต้องตีกรับพวงด้วยอีกคนหนึ่ง

 ต่อมาก็ได้มีการเพิ่มจำนวนผู้บรรเลงและเครื่องดนตรีขึ้นอีก 2 ชนิดคือ  คนตีรำมะนาให้คู่กับคนตีโทน  และคนเป่าขลุ่ย  เรียกชื่อวงว่า วงมโหรีเครื่อง 6ในสมัยอยุธยานั้นเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า ได้มีเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องสายอยู่แล้วและก็คงจะเป็นที่นิยมกันอีกด้วย  ถึงกับได้มีบทบัญญัติกำหนดโทษไว้ในกฎมณเทียรบาลตอนหนึ่งว่า“ อนึ่งในท่อน้ำ ในสระแก้วผู้ใดขี่เรือคฤหรือปทุนเรือกูบ และเรือมีศาตราวุธและใส่หมวกคลุมหัวนอนมาชายหญิงนั่งมาด้วยกัน อนึ่งชเลาะ ตีด่ากัน ร้องเพลงเรือ เป่าปี่เป่าขลุ่ย สีซอ  ดีดจะเข้ กระจับปี่ ตีโทนทับ โห่ร้องนี่นัน  อนึ่ พิริยหมู่แขก ขอม ลาว พม่า เมง มอญ  มสุม แสง จีน จาม ชวานานาประเทศทั้งปวง และเข้ามาเดิรในท้ายสนมก็ดี ทั้งนี้อัยการขุนสนมห้ามถ้ามิได้ห้ามปรามเกาะกุมเอามาถึงศาลา ให้แก่ เจ้าน้ำ เจ้าท่า แลให้นานาประเทษ   ไปมาในท้ายสนมได้ โทษเจ้าพนักงานถึงตาย ”

                       ในข้อความข้างต้นนี้พบว่ามีเครื่องดนตรีที่ระบุอยู่ในกฎมณเทียรบาลนี้  นอกจากปี่ซึ่งอยู่ในวงปี่พาทย์ และกระจับปี่ซึ่งอยู่ในวงมโหรีแล้ว  นอกนั้นก็มี ซอ ขลุ่ย จะเข้ และ โทนทับ ซอนั้นอาจเป็นซอด้วง ซออู้หรือซอสามสายก็ได้   ส่วนขลุ่ยคงมีแต่ขลุ่ยเพียงออเลาเดียว  ขลุ่ยหลิบซึ่งมีเสียงสูงยังไม่มีปรากฏอยู่เลย

                       สำหรับวงดนตรีที่มีเครื่องสายนี้คงไม่เรียกว่า  วงเครื่องสาย แต่อาจเรียกว่า “ดนตรี” ก็ได้    เพราะในกฎมณเทียรบาลนั้นได้แยกเรียกมโหรีกับดนตรีเป็นคนละอย่าง  กฎมณเทียรบาลที่กล่าวถึงนี้ก็คือตอนที่กล่าวถึงพิธี ตรองเปรียงที่กำหนดเรือต่างๆดังนี้  “ เรือปลาลูกขุนเฝ้า น่าเรือเบญจา เรือจะเข้แนมทั้งสองข้าง ซ้ายดนตรี  ขวามโหรี ”   อาจกล่าวได้ว่า      ในสมัยอยุธยานั้น  มีเครื่องดนตรีครบทั้งสามประเภทแล้วคือ วงปี่พาทย์ วงมโหรี และวงเครื่องสาย

                         ในสมัยกรุงธนบุรี    การดนตรีปี่พาทย์ มโหรี หรือเครื่องสายยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมขึ้นจากสมัยอยุธยา    แต่การดนตรีก็มิได้ตกต่ำลง      ดังที่ปรากฎว่าได้มีการบรรเลงสมโภชพระแก้วมรกต  มีการบรรเลงมโหรีไทยสลับกับมโหรีแขก ญวน และ  เขมรอยู่หลายวัน ซึ่งปรากฏตามหมายรับสั่งตอนหนึ่งว่า ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้ พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ และ มโหรีไทย มโหรีแขก ฝรั่ง ญวน เขมร  ผลัดเปลี่ยนกันสมโภชสองเดือนกับสิบสองวัน

                          ยุคสมัยของดนตรีไทย ได้ดำเนินแนวทางพัฒนาการมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์  นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1 )    ได้มีผู้คิดค้นเครื่องดนตรีเพิ่มเติมขึ้นมาอย่างหนึ่งคือ มีการเพิ่มกลองทัดอีก 1 ลูก ทำให้ในวงปี่พาทย์เครื่องห้ามีกลองทัดครบ 2 ลูก  เมื่อการดนตรีไทยได้พัฒนาตัวเองเข้าสู่ยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ 2 )  จึงได้มีการปรับปรุงการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบเสภา  ที่เดิมทีเดียวนั้น การขับเสภา  จะไม่มีปี่พาทย์รับไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดเข้ามาประกอบคงใช้แต่กรับเสภาอย่างเดียว  เมื่อการขับเสภา  มีปี่พาทย์รับเข้ามาทำให้การบรรเลงปี่พาทย์ประกอบการขับเสภาเป็นที่ชื่นชอบ  เพราะการฟังดนตรีมีรสมีชาดมากขึ้นนั่นเอง

                            ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี้  การดนตรีไทยได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อเดินทางมาได้จนถึงปัจจุบันนี้   ก็เชื่อได้ว่าดนตรีไทยจะต้องคงอยู่คู่ไปกับสังคมไทย      คอยรับใช้สังคมทั้งในด้านพิธีกรรม  ด้านประกอบการแสดง และหรือเพื่อการฟังอย่างชื่นชม       ย่อมทำให้ดนตรีไทยนี้มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่เกิดจนถึงตาย  ปัจจุบันนี้ ถือได้ว่า การดนตรีไทยได้มีการยกเครื่อง หรือ การ Re – Engineering เพื่อพัฒนาตนเองดังนี้

ยุคที่หนึ่งของดนตรีไทย

                            เป็นยุคที่ดนตรีไทยเจริญรุ่งเรืองอยู่ในราชสำนัก และในวังของเจ้านายต่างกรม  เป็นยุคที่นักดนตรีไทย หรือครูดนตรีไทยที่มีฝีมือ       ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูอย่างมีศักดิ์ศรี       มียศถาบรรดาศักดิ์และมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์  มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย        มีความพร้อมที่ครูเหล่านั้นสามารถคิดสร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีไว้มากมาย  ผลงานแต่ละชิ้นแต่ละเพลงที่ออกมามีความสละสลวยสวยงาม  พบว่าเจ้านายชั้นสูงหลายพระองค์ทรงจัดตั้งวงปี่พาทย์ในพระองค์ขึ้น มีการบรรเลงอวดฝีมือ  และสืบเสาะหานักดนตรีมีฝีมือเข้ามาร่วมวง      เมื่อได้นักดนตรีที่มีความสามารถแล้ว  ก็ให้การสนับสนุนเพื่อผลิตผลงาน  และมีการพัฒนาฝีมือทางดนตรีกันอย่างเต็มที่

                         ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องไปถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  นั้นพบว่า การอุปถัมภ์ที่ได้กล่าวถึงนี้ปรากฏอยู่ตามวังของพระบรมวงศานุวงศ์เป็นหลัก เช่น  วังหน้าในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีครูคนสำคัญประจำวงคือพระประดิษฐ์ไพเราะ ( มีดุริยางกูร หรือ ครูมีแขก )
ครูเพ็ง ดุริยางกูร ศิษย์ที่มีชื่อเสียงจากวังหน้านี้อาทิเช่น ครูสิน ศิลปบรรเลง  ครูต้ม พาทยกุล   ครูแดง พาทยกุล  ครูทองดี ชูสัตย์  ครูถึก ดุริยางกูร เป็นต้น

                           วงวังหลวงสมัยรัชกาลที่ 5  ในสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร มีครูคนสำคัญคือ ครูช้อย สุนทรวาทิน ครูแปลก ( พระยาประสานดุริยศัพท์ )  ครูหม่อมผิว มานิตยกุล  ศิษย์คนสำคัญของวังนี้เช่น  เจ้าเทพกัญญา  บูรณพิมพ์  เจ้าบัวชุม ณ เชียงใหม่

                           วงวังหลวงและสวนดุสิต ในพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์  มีครูคนสำคัญของวังนี้เช่น  พระประดิษฐ์ไพเราะ ( ตาด )  หลวงเสนาะดุริยางค์  ( แช่ม ) ครูเฒ่าแก่จีบครูหม่อมส้มจีน บุนาค  ศิษย์จากวังนี้เช่น  เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์   คุณหญิงรามบัณฑิตสิทธิ์เศรณี ( นักร้อง )  ครูท้วม ประสิทธิกุล  เป็นต้น
                           วงวังบ้านหม้อ ในเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์  มี พระประดิษฐ์ไพเราะ ( ตาด ) เป็นครูควบคุมวง  ศิษย์คนสำคัญของวังนี้ได้แก่ หลวงบำรุงจิตเจริญ ( ธูป ศาสตรวิลัย )

                            วงกรมมหรสพ ม.ร.ว. หลาน กุญชร  ครูประจำวงนี้เช่น  หลวงเสนาะดุริยางค์ ( ทองดี )  ครูเหลือ  หม่อมเข็ม  ครูสิน สินธุนาคร  ส่วนศิษย์ของวงนี้อาทิเช่น  หม่อมเจริญ  พาทยโกศล  หม่อมมาลัย กุญชรฯ  หม่อมคร้าม กุญชรฯ  ขุนสมานเสียงประจักร ( เถา สินธุนาคร )  ครู เฮ้า  สินธุนาคร  ครูศุข ดุริยประณีต  ครูแป้น วัชโรบล  เป็นต้น

                            วงวังบูรพาภิรมย์    ในสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช  ครูคนสำคัญประจำวังนี้คือพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก ประสานศัพท์ )หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปบรรเลง )   ศิษย์ของวังนี้เช่น  ครูเพชร จรรย์นาฎ  ครูเผือก   นักระนาด  ครูลาภ ณ บรรเลง   ครูจางวางผาด  ครูสงัด ยมคุปต  ครูร้อยเอกโองการกลีบชื่นเป็นต้น

                             วงกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์   มีครูสิน  สินธุนาคร    และครูเฮ้า สินธุนาครเป็นครูประจำวง

                             วงวังท่าเตียน  ในกรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม   มีครูแปลก หรือ พระยาประสานดุริยศัพท์   กับครูปั้น  บัวทั่ง  เป็นครูประจำวง

                             วงวังสวนกุหลาบ  ในเจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา       มีครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปบรรเลง ) ศิษย์คนสำคัญคือ ครูท้วม ประสิทธิกุล

                             วงวังลดาวัลย์ และวังบางคอแหลม    ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรี ราเมศวร์ ( วังแดง )  มีครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปบรรเลง ) เป็นครูประจำวง ศิษย์จากวังนี้ได้แก่  ครูรวม พรหมบุรี  ครูรอด อักษรทับ  ครูเผือด นักระนาด  เป็นต้น

                              วงวังเพชรบูรณ์  ในกรมหลวงเพชรบูรณ์อินทราชัย    ครูของวงนี้  คือ หม่อมมาลัย  กุญชรฯ  ศิษย์ของวงนี้ได้แก่  ครูท้วม  ประสิทธิกุล

                              วงวังหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6  มีพระยาประสานดุริยศัพท์ ( แปลก  ประสานศัพท์ ) และ พระยาเสนาะดุริยางค์  ( แช่ม  สุนทรวาทิน )  เป็นครูประจำวง

                              วงวังสวนสุนันทา ในพระสุจริตสุดามีครูพระสรรเพลงสรวง  เป็นครูประจำวง  และศิษย์ของวงนี้อาทิเช่น  ครูสุพัตรา  สุจริตกุล  ครูฉลวย  จิยะจันทร์  ครูทองดี  สุจริตกุล    ครูนิภา  อภัยวงศ์  เป็นต้น  
                              วงวังบางขุนพรหม  ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตครูคนสำคัญของวงนี้คือจางวางทั่วพาทยโกศลครูเจริญ พาทยโกศล  ครูทองดี ชูสัตย์ ครูสังวาลย์ กุลวัลกี  ศิษย์จากวงนี้ได้แก่  ครูทรัพย์  เซ็นพานิช  ครูอาจ  สุนทร  ครูช่อ  สุนทรวาทิน  ครูฉัตร  สุนทรวาทิน  ครูเตือน พาทยกุล ครูฉ่ำ เกิดใจตรง  ครูแมว พาทยโกศล  ครูย้อย  ชูสัตย์  ร้อยเอกนพ  ศรีเพชรดี ครูพังพอน แตงสืบพันธ์  ครูเอื้อน  กรเกษม ครูเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล  คุณหญิงไพฑูรย์  กิตติวรรณ   เป็นต้น

                                วงวังหลวง  ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  มีครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปบรรเลง ) เป็นครูประจำวง

                                วงมโหรีหญิงหลวง  มีพระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม  สุนทรวาทิน ) เป็นครูประจำวง  ศิษย์ของวงนี้มีอาทิ  คุณหญิงชิ้น  ศิลปบรรเลง ครูเจริญใจ  สุนทรวาทิน ครูแช่มช้อย  ดุริยพันธ์  ครูเลื่อน  ผลาสินธุ์  ครูสุดา  เขียววิจิตร  ครูศรีนาฎ  เสริมศิริ   เป็นต้น

                                จนถึงปัจจุบันนี้  ยังคงมีอีกสถานที่หนึ่งคือวังคลองเตยในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์  ซึ่งวังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ“ บ้านปลายเนิน “  นั่นเองก็ยังคงมีการเรียนการสอนดนตรีไทยอยู่อย่างสม่ำเสมอพร้อมทั้งส่งเสริม รักษาและ เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย ดนตรี และ นาฏศิลป์ไทยอยู่อย่างสม่ำเสมอ  วงดนตรีที่วังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ“วงดนตรีบ้านปลายเนิน “ พระทายาทที่ดูแลสืบทอดปัจจุบันคือหม่อมเจ้าดวงจิตร์ จิตรพงศ์และหม่อมเจ้ากรณิกา จิตรพงศ์  เดิมทีนั้น  ครูมนตรี ตราโมท รับหน้าที่เป็นครูผู้สอน  แต่ในปัจจุบันนี้ ครู  สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ  เป็นผู้สอนตลอดมา   นักดนตรีที่มาฝึกซ้อมเป็นประจำอาทิ  เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  หม่อมเจ้ากรณิกา  จิตรพงศ์  ม.ร.ว. เอมจิตร จิตรพงศ์ ม.ร.ว. จักรรถ จิตรพงศ์  ครูพูนทรัพย์  ตราโมท  ครูศิลปี  ตราโมท ครูบุญช่วย  โสวัตรและครู  ปิ๊ป  คงลายทอง  เป็นต้น

                       ในยุคที่หนึ่งนี้  จะพบว่ามีนักดนตรีที่เข้าสู่ระบบอุปถัมภ์อยู่ 2 กลุ่มคือนักดนตรีในอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ กับในระบบอุปถัมภ์ของเจ้าต่างกรม ถือได้ว่าเป็นยุคที่“ ดุริยกวี ” เกิดขึ้นมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 นั้น  ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ทรงครองราชย์  พระองค์ท่านได้ทำนุบำรุงและส่งเสริมการดนตรีไทยให้เจริญรุ่งเรืองสูงสุด  ถือเป็นยุคทองของดนตรีไทยทีเดียว  ในรัชสมัยของพระองค์นั้น  มีนักร้องนักดนตรีได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์   มีราชทินนามเกิดขึ้นมากมาย    นักดนตรีไทยที่เรานับเป็นดุริยกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์   ที่เป็นที่เคารพนับถือของนักดนตรีไทยในปัจจุบันได้แก่ พระยาประสานดุริยศัพท์  ( แปลก ประสานศัพท์ )  พระยาเสนาะดุริยางค์  ( แช่ม สุนทรวาทิน )  หลวงประดิษฐ์ไพเราะ  ( ศร  ศิลปบรรเลง )     พระยาภูมีเสวิน  ( จิตร  จิตตเสวี )       จางวางทั่ว  พาทยโกศล  ดุริยกวีในลำดับต่อมาก็คือ     พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7   พระโอรสองค์ที่  74 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5     ผลงานสร้างสรรค์เพลงของพระองค์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ  เพลงราตรีประดับดาว ( เถา )  ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์อันดับแรกของพระองค์ที่ได้รับการถวายคำแนะนำจาก หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง )    และ หลวงไพเราะเสียงซอ  ( อุ่น ดูรยะชีวิน )  นอกจากนั้นก็มีเพลงเขมรลออองค์ ( เถา )   กับ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง  สามชั้น  ซึ่งเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงตลอดมา
ยุคที่สองของดนตรีไทย

                      เป็นยุคที่ดนตรีไทยออกจากวังเข้าสู่วัด และอยู่ตามบ้าน  เป็นยุคที่นักดนตรีและครูดนตรีต้องช่วยเหลือตนเองเพื่อหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง     และการที่ต้องดำรงฐานะยศถาบรรดาศักดิ์  รวมถึงเกียรติยศของตนเองให้ดำรงอยู่  รวมถึงบริวารและสานุศิษย์ทั้งหลายที่เข้ามาฝากตัวศึกษาวิชาการดนตรีพร้อมทั้งกินอยู่หลับนอนที่บ้านครู    ถือกันว่ายุคนี้เป็นยุคที่นักดนตรีไทยต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสังคมขณะนั้นเป็นอย่างมาก

ยุคที่สามของดนตรีไทย

                       ยุคที่สามถือเป็นยุคที่การดนตรีไทยเริ่มสดใสขึ้น เนื่องจากสถาบันการศึกษาต่างๆทั้งในระดับโรงเรียนมัธยมและในระดับอุดมศึกษา  เริ่มตื่นตัวให้ความสนใจร่วมกลุ่มกันจัดตั้งชุมนุมดนตรีไทยบ้าง  ชมรมดนตรีไทยบ้าง  เช่นชุมนุมดนตรีไทยสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชมรมดนตรีไทยแห่งสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย    สโมสรดนตรีไทยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เป็นต้น  ในระดับโรงเรียนมัธยมศึกษา   ก็มีการจัดการเรียนการสอนดนตรีไทยขึ้น  ทำให้วงการดนตรีไทยในยุคนี้มีความเข็มแข็งขึ้นเป็นอันมาก  นิสิตนักศึกษาก็เริ่มให้ความสนใจเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกชุมนุมกันเป็นจำนวนมากขึ้น วงการดนตรีไทยเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายออกไปสู่ประชาชนทั่วไป ในระดับมหาวิทยาลัยนำโดย ชุมนุมดนตรีไทยสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์     ชมรมดนตรีไทยแห่งสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  และ สโมสรดนตรีไทยแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นแกนนำได้ริเริ่มจัดงานชุมนุมสังสรรค์ดนตรีไทยขึ้นเป็นครั้งแรก  เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม  2509  ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์บางเขน   และการจัดงานนี้ก็ได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องเป็นงาน  “ ดนตรีไทยอุดมศึกษา ” อย่างที่เรารู้จักกันนั่นเองจะพบว่าในยุคนี้  ระยะแรกๆที่ดนตรีไทยเข้าสู่สถาบันการศึกษานั้น  ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้บริหารระดับสูงในในมหาวิทยาลัยเท่าที่ควร     การพัฒนาดนตรีไทยจึงเป็นเรื่องของแต่ละชุมนุมดนตรีฯ ที่เป็นองค์กรเล็กๆและมีผู้ที่สนใจจริงเท่านั้น  นักศึกษาที่เรียนจบออกไปก็ไปประกอบอาชีพอย่างอื่นแล้วเล่นดนตรีไทยเป็นงานอดิเรกในยุคนี้เองที่ดนตรีไทยเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นในต่างประเทศบ้างแล้ว  เนื่องจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาได้ให้ทุนกับ   นายเดวิท มอร์ตัน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย  ให้เข้ามาศึกษาค้นคว้าทำวิจัยเรื่องดนตรีไทย  เมื่อปี พุทธศักราช 2510  แล้วทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ออกไปสู่ต่างประเทศ  ทำให้วิชาการดนตรีไทยเป็นที่รู้จักขึ้นมาและเกิดความตื่นตัวกันในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของเราอย่างจริงจัง

ยุคที่สี่ของดนตรีไทย

                          เป็นยุคที่เรียกว่า  “ ดนตรีไทยในโลกอินเตอร์เน็ต ”  นั่นเอง นับเป็นการยกเครื่องหรือ การ Re – Engineering  อีกครั้งหนึ่งเรียกว่ายุค โลกาภิวัตน์   หรือ Globalizationเป็นยุคที่ทุกชีวิตในโลกสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรม และการสื่อสารซึ่งกันและกันได้เพียงปลายนิ้วกระดิก ( คลิก )  อาจเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่สังคมโลกใกล้กันเพียงลัดนิ้วมือโดยผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์  ที่สามารถส่งภาพ เสียง และข้อมูลต่างๆถึงกันได้ทันทีที่กระดิกนิ้วเท่านั้น เมื่อการดนตรีไทยได้เดินทางเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต  มีเวปไซด์ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีไทยจริงๆขึ้นมาเป็นครั้งแรกคือ http://www.dontrithai.com ขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช  2542  นับเป็นการปรับตัวตนของดนตรีไทย ให้เป็นดนตรีที่สามารถเข้าใจในสังคมได้มากยิ่งขึ้น การทำดนตรีไทยเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ทำให้วิชาการด้านดนตรีไทยเผยแพร่ไปได้ทั่วโลกโดยผ่านการสื่อสารที่เป็นสากลนี้แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศนี้แม้มีคุณอนันต์  หากนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องก็จะมีโทษมหันต์    กลายเป็นการสื่อสารสารสนเทศที่แฝงและเต็มไปด้วยพิษภัยอย่างรุนแรงได้เช่นกัน

หนังสืออ้างอิง

ธนิต  อยู่โพธิ์  หนังสือเครื่องดนตรีไทย  กรุงเทพมหานคร  กรมศิลปากร  2530

ธนิต  อยู่โพธิ์  ตำนานการผสมวงมโหรี  ปี่พาทย์  และเครื่องสาย  กรมศิลปากร 2530 พิมพ์เนื่องในโอกาสฉลองชนมายุครบ 80 ปี นายธนิต  อยู่โพธิ์

มนตรี  ตราโมท   วิวัฒนาการดนตรีไทย ยุครัตนโกสินทร์ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ วัดเทพศิรินทราวาส  กรุงเทพมหานคร  2528

ศ.อุทิศ  นาคสวัสดิ์ ทฤษฎีและหลักปฏิบัติดนตรีไทย และ พจนานุกรมดนตรีไทย  พิมพ์เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาส 80 ปี ศ. อุทิศ นาคสวัสดิ์  2546

อุดม  อรุณรัตน์  ดุริยางคดนตรีจากพระพุทธศาสนา  กรุงเทพมหานคร ม.ศิลปากร 2526                      

 พูนพิศ  อมาตยกุล  และคณะ   นามานุกรมศิลปินเพลงไทยในรอบ 200 ปี  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์กรุงเทพมหานคร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  2532

พูนพิศ  อมาตยกุล ดนตรีวิจักษ์  กรุงเทพมหานคร  2529

บุญตา  เขียนทองกุล ดนตรีในพระราชพิธี  กรมศิลปากร  2548


อ้างอิงข้อมูลจาก  http://www.dontrithai.com/