ธรรมะรอบกองไฟ -ขวัญ เพียงหทัย

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
01/06/2008
ที่มา: 
http://www.dhammajak.net/

แสงแดดทอดตัวบนพื้นหญ้า
ดูเจิดจ้า ทว่าสงบ
หญ้าเปลี่ยนสีที่ใต้เงาต้นมะม่วง
ใบมะม่วงพลิกพลิ้วเบา ๆ
คุยกับสายลม
ลูกของมันระย้าย้อยเต็มต้น
บ้านเงียบสงบ
ไม่มีเสียงรถรารบกวน
ฟังเพลงเก่า ๆที่เคยชอบ
แล้วก็นอนพัก
ดอกผักบุ้งริมรั้วกำลังบาน

           กลอนเปล่าบทนี้ชื่อ “ วันอาทิตย์ “ ฉันเขียนขึ้นในสมัยที่วันอาทิตย์เป็นวันนอน อย่างขี้เกียจ ต่อมาเมื่อศึกษาธรรมะ ก็เลยเลิกกิจการการนอนเช้าๆวันอาทิตย์ อากาศดี ถนนเงียบเพราะผู้คนยังไม่ตื่น หิ้วตะกร้าไปซื้อกับข้าวถุงๆแล้วก็ไปวัดชลประทานฯ ที่วัดนี้มีสวนร่มรื่น เป็นต้นไม้ใหญ่มากเหมือนป่า ทำให้มีความสุขมาก พอ 9 โมงเช้าก็มีการสวดมนต์ เขาจะติดลำโพงจาก ห้องประชุมมาไว้ตามสวนด้วย ปัจจุบันพื้นสวนได้ปรับใหม่จากลานดินที่เหมือนอยู่สวนป่าจริง ๆ มาเป็นลานอิฐ มีการจัดสวนตามสมัย ก็ดีไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่บรรยากาศก็เปลี่ยนไปบ้าง

           สมัยก่อนหลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านเทศน์ทุกวันอาทิตย์ ก็นั่งฟังอยู่ใต้ต้นไม้บ้าง ในศาลาริมสระบ้าง สุดแสนจะสบายใจดีกว่านอนหง่าวอยู่บ้านเยอะเลย

            พอท่านเทศน์เสร็จก็มีการตักบาตร พระนั่งล้อมเป็นวงที่ลานหินโค้ง ดูแล้วประทับใจนัก ก่อนกลับบ้านก็แวะไปยืมเทปจากห้องสมุดศาลาจำปีรัตน์ที่มีหลายตู้ เอากลับไปฟังที่บ้าน ที่ยืมมาประจำก็คือเทปของหลวงพ่อปัญญา และหลวงพ่อพุทธทาส นานปีก็จับได้ว่าตัวเองฟังเทปได้มากกว่าอ่านหนังสือ แต่จริง ๆแล้วหนังสือก็ถอดมาจากเทปบรรยายธรรมของหลวงพ่อนั่นเอง

           ฟังมาก็พอสมควร มองเห็นผังภูมิของพุทธศาสนาว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องอะไร ผังภูมินี้ก็เหมือนกับตัวบ้าน เรายืนดูก็รู้ได้ว่า ประตูบ้านอยู่ไหน ตัวบ้าน ประตู หน้าต่าง หลังคา แค่มีบ้านก็เดินเข้าไปหลบฝนหลบแดดได้ ส่วนเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆนั้นเป็นรายละเอียด ใครชอบก็ค่อย ๆตามเก็บตามแคะเอา

            วันหนึ่ง น้องคนหนึ่งก็มาพูดคุยเรื่องจะเข้าบ้านศาสนายังไงดีให้ช่วยแนะนำด้วย ทำให้คิดย้อนกลับไปถึงตัวเองเมื่อแรกเริ่มก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน เลยชวนมาเล่าให้ฟัง น้องอีกคนหนึ่งก็มาสบทมด้วย รวม 3 คน เป็นธรรมสัญจรไปคุยกันที่สวนรถไฟบ้าง เขาดินบ้าง เพลิดเพลินดี

           ก่อนจะไปก็ต้องทำโน้ตสั้น ๆว่าจะคุยเรื่องอะไร กลับมาก็เก็บไว้ ตั้งใจว่าจะเอามาเล่าให้ลูกชายฟัง

           เท่าที่เคยถาม ๆ มา ก็พอจะอนุมานได้ว่า คนที่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรมีเยอะ และนึกเข้าหาศาสนาพุทธ ก็หาประตูไม่เจอก็มีเยอะ พอเห็นใครอยากรู้ก็เล่าให้เขาฟัง เลยคิดว่าเขียนเป็นหนังสือเลยท่าจะดีกว่า จะได้เผื่อไปถึงคนอื่น ๆ ที่อาจจะสนใจด้วย แต่ใครจะคิดว่าฉันตั้งตนเป็นอาจารย์นั้นก็ไม่ใช่ ฉันเป็นเพียงคนรวบรวมเอาคำเทศน์ที่ได้ฟังมาเล่าให้ฟังสั้น ๆ และรวมไว้ในที่เดียวกันเท่านั้นเอง และอยากจะเล่าให้ฟังเพลิน ๆ ประสาเพื่อนคุยกัน พอเป็นพื้นฐานแบบเตรียมอนุบาล เพื่อว่าท่านจะได้ใช้เป็นทางลัดให้เข้าไปศึกษาธรรมด้วยตัวเองต่อไปได้เลยไม่ต้องแวะเวียนค้นหาไปตามจุดต่าง ๆ ให้เสียเวลาเหมือนกับที่ฉันเคยเป็นมา
แต่ในชั้นแรกนี่ ก็จะเล่าถึงช่วงที่ยังหาธรรมะไม่พบด้วย เพื่อท่านจะได้ทราบว่า ความรู้สึกบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นกับคนอื่นด้วย อาจทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น

           แรกเริ่มเมื่อมีความทุกข์ใจหนัก แต่ละวันผ่านไปเหมือนเรือลำเล็ก ฝ่าอยู่กลางคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรอย่างกับในหนังฝรั่งก็ได้ไปหาน้องคนหนึ่ง ซึ่งมีท่าทางเป็นนักวิชาการดี และถามเขาว่า

           “ พุทธศาสนาสอนว่าอะไร “

           เขามองหน้าเหมือนกับว่าเรายวน แต่พอเห็นความโง่ในดวงตาของฉัน ก็กลับเปลี่ยนใจ วันรุ่งขึ้น ก็หอบหนังสือมาให้เกือบ 10 เล่ม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเส้นทางศาสนา ปรัชญาลัทธิต่าง ๆ และหนังสือธรรมะหนา ๆ พอเห็นตั้งหนังสือฉันก็เริ่มหาว และอุ้มเอากลับไปหนุนหัวนอน

วันหนึ่ง จึงออกกำลังกายเดินไปวัดเบญจมบพิตร เพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ไปถึงก็ไปนั่งกราบพระพุทธชินราชที่แสนจะงดงามประทับใจ นั่งรำพึงรำพันฟ้องเรื่องราวต่าง ๆ กับท่านอยู่ในใจไกด์ตัวท้วมพาฝรั่งเที่ยวก็เดินเกือบจะสะดุดเท้าของฉันที่พับเพียบแนบอยู่กับตัว หัวเข่าเฉี่ยวไหล่ไปเส้นยาแดงผ่ายี่สิบแปด อะไรวะ! ยังไม่บรรลุเลย ตัวฉันใสจนมองไม่เห็นรึไง นึกแล้วก็หันไปกราบพระ ท่านยังยิ้มให้อยู่เหมือนเดิม อยากให้พระท่านพูดได้จังเพราะบ่นแล้วมันยังไม่หายกลุ้มใจ

           เป็นเครียดอยู่นาน มีคนชวนไปถวายสังฆทานให้สบายใจ ก็ไปซื้อข้าวของเตรียมสังฆทาน แล้วก็ไปวัดด้วยความยินดี ไปถึงกุฏิเจ้าอาวาส ท่านก็ใจดีสวดมนต์ให้ยาวหลายบท และยังแถมบทสวดให้พรประจำวันเกิดด้วย ฟังจนขาเป็นเหน็บ ย้ายพับเพียบซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย ระหว่างนั่นท่านก็ซัดน้ำมนต์ให้เพื่อเป็นสิริมงคล กว่าจะสวดเสร็จ ก็เปียกไปทั้งตัวยังกะฝ่าฝนตกหนักมา ก็ชุ่มฉ่ำหัวใจ แจกทิชชู่มาเช็ดหัวหูกันเพลิน

แต่พอกลับมาถึงโต๊ะทำงาน ก็หน้าหงิกกันต่อไป เหมือนไม่ได้ไปไหนมา

           อย่ากระนั้นเลย จึงวันหนึ่งก็หอบมาลัยร้อยประณีตอย่างสวย ซื้อที่ท่าช้าง ไปไหว้พระนอนวัดโพธิ์ พระองค์นี้ฉันรักนักรักหนาด้วยงามประใจ ไปถึงก็วางดอกไม้ลงในพานทองที่เขาเตรียมไว้ให้ไปถวายท่าน แล้วก็จุดธูปเทียนสวดนต์ขอพรท่านตามระเบียบ แล้วก็เสี่ยงเซียมซีมาใบหนึ่งด้วย ตั้งจิตอธิษฐานถามท่านว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร จะไปรอดมั้ยเนี่ย

           ในเซียมซีบอกว่าสาหัสนักลูกเอ๋ย ลำบากไปอีกนานนะเจ้าให้ทิ้งพระเสีย เอ! อ่านแล้วก็งง เลยไปถามคนขายดอกไม้ว่าทิ้งพระแปลว่าอะไร

           “ อ๋อ ก็ให้ซื้อพระองค์เล็ก ๆ นี่ ไปทิ้งไว้ใต้ต้นโพธิ์หลังโบสถ์ เป็นการสะเดาะเคราะห์ “

           ก็เลยซื้อพระหน้าตู้นั่นเอง องค์ละ 20 บาท แล้วก็ออกไปเดินหาต้นโพธิ์ โอ้โฮ! ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ พระถูกทิ้งอยู่เต็มเลย สงสารท่านนะ

           เรื่องเสี่ยงเซียมซีนี่ ก็ไม่ได้เสี่ยงบ่อย เพราะมันเสี่ยง
ปกติไปไหนจะไม่เสี่ยงที่จะเสี่ยงเซียมซี เพราะถ้าเสี่ยงบ่อย ๆ นอกจากจะเสี่ยงกับใจความที่ค้านกันเองจนงงแล้ว ความน่าเชื่อถือก็ไม่มี
( จริง ๆ ทางศาสนาพุทธบอกว่าไม่มีเลยอยู่แล้ว ) และ บางคนที่คิดว่าเสี่ยงใบแรกแล้วไม่ชอบ ลงไปนั่งเสี่ยงใหม่ อันนี้เลิกเลย เดินไปเลือกเองที่ตู้เลยแล้วกัน

           ที่ทำอยู่ก็คือ เสี่ยงเซียมซีที่พระนอนนี่องค์เดียว ปีละครั้งเดียว คือวันเกิด ที่เสี่ยงก็เพราะรักท่าน อยากคุยกับท่านนั่นแล ใบเซียมซีเป็นทางเดียวที่ท่านจะคุยกับเราได้ อันนี้ดูจะเป็นความสัมพันธ์ทางใจของลูกเกเรอย่างฉันที่มีกับพระนอนองค์นี้มากกว่าก็รวมสมาธิอย่างดี อธิษฐานขอให้ท่านแนะนำว่าปีหน้าเป็นอย่างไรพอแอบเป็นกำลังใจเล็ก ๆ เพราะตอนนั้นไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร มันเศร้า

           ในระหว่างปีเหล่านั้น ก็ได้หนังสือธรรมะมาจากงานศพบ้าง จากร้านหนังสือบ้าง ยอมรับว่าอ่านแล้วง่วงมาก ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยว่ากล่าวถึงอะไร ทำให้เบื่อการอ่าน เคยลองไปเปิด ๆ ดูหนังสือพระศักดิ์สิทธิ์นิยมที่คนชอบอ่านเขาซื้อมาวางๆไว้ แล้วก็มีแต่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อ่าน 2 – 3 เรื่องแรก ก็แปลกหูแปลกตาดีหรอก อ่านๆ ไปรู้สึกว่าสมองมันมืดลง ๆ มันซึมเซา คล้ายกับว่าเป็นเรื่องที่เราจะไปจับต้องหรือเอามาทำอะไรก็ไม่ได้ สมมุติว่าปาฏิหาริย์นั้น ๆ มีจริง มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา และจะให้เกิดก็ไม่ได้ อ่านแล้วก็ฟุ้งซ่าน ทำให้เกิดคำถาม เกิดความสงสัย ลังเลมากมาย อ่านแล้วก็เบื่อ ๆ เลยเลิกไป

           ครั้งหนึ่งไปช่วยงานศพญาติที่วัดลาดพร้าวอยู่ 7 วัน ได้เห็นว่าเมรุเผาศพทำงานไม่ทัน
ตอนนั้นปลงไปได้เยอะเลย นึกสังเวชขึ้นมาว่าคนเราก็ตายกันเป็นใบไม้ร่วง งานศพก็ชุลมุนมากทำข้าวต้มเลี้ยงทุกคืน มีชามให้ล้างเป็นร้อย กิจกรรมของคนที่ยังไม่ตายก็ทำกันไป วนเวียนกันไปอย่างนี้ทุกศาลา หรือนี่จะเป็นกลอุบาย ให้เจ้าภาพงานยุ่งจะได้ไม่มีเวลาโศกเศร้า จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ญาติคนนี้ก็โศกเศร้าจนกินไม่ได้ และรับแขกตามหน้าที่ไปด้วยจนหมดแรงเป็นลมไปหลายครั้ง

           วันสุดท้าย พอเก็บของหมดแล้ว ได้นั่งพัก พระที่คุ้นเคยก็มานั่งคุยกับเจ้าภาพ ซึ่งก็ถามว่า ที่ทำไปนั้นถึงคนตายไหม พระก็พยักหน้า

           “ ถึงนะโยม ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ทำใจให้สบาย “

           ฉันซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ฟังแล้ว ก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับพระ

           เมื่อไปที่ร้านหนังสือ เราจะพบหนังสือธรรมะเยอะมาก โดยเฉพาะในปีสองปีมานี้ มีเพิ่มเป็นกิจจะลักษณะ แต่กระนั้นก็ตาม คนที่ไม่รู้มาก่อนและอยากจะเริ่มต้นรู้ ก็เลือกไม่ถูกว่า ในบรรดาหนังสือเต็มตู้ยาว ๆ นั้น ควรจะอ่านเล่มใดก่อนหลัง จะบอกว่าอ่านเล่มไหนก่อนก็ได้ ก็ไม่เชิงนัก บางเล่มก็สำหรับผู้ที่เริ่มต้น แต่บางเล่มก็สำหรับคนที่รู้มาแล้วพอสมควรเหมือนกัน แต่เมื่อไปยืนเลือกอยู่ลำพัง ใครเล่าจะบอกเราว่าควรจะเริ่มที่เล่มใด แต่ละเล่มก็หนา ๆ ทั้งนั้นเลย

           อีกประเภทหนึ่ง ก็เป็นเล่มบาง ๆ มีแจกที่วัด ก็คือถอดเทปมาจากที่หลวงพ่อเทศน์ 1 ชั่วโมง อันนี้อ่านง่าย ได้ใจความดี แต่ก็มีปัญหาสำหรับคนทุกข์ร้อน ๆ คือ ไม่ค่อยตรงกับปัญหาคาใจตอนนั้น

           ครั้นจะเข้าไปหาหลวงพ่อสักองค์ ก็คงประสบผลคล้าย ๆ กันเพราะคนทุกข์แบบร้อน ๆ จะเหมือนมีปัญหาเยอะ จนไม่รู้จะเล่ายังไง และอยู่ ๆ หลวงพ่อจะมาแจกธรรมะทั้งศาสนาใน 5 นาทีก็คงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทั้งโยมทั้งพระ ต่างก็มีข้อมูลฝ่ายตัวเองอยู่คนละ 1 กระบุง ที่ไม่อาจเทให้แก่กันได้ สรุปก็คือ รดน้ำมนต์ดีกว่า

           วันหนึ่ง เพื่อนสาวจอมซี้ก็โทรมาหา มาเล่าให้ฟังว่า ไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งไกลกันดาร พอจอดรถขนของลงมา พระเณรเคลื่อนไหวกันพึ่บพั่บ เพราะไม่ค่อยมีคนมาถวายของ เล่นเอาตกอกตกใจ พลางสอนฉันว่า วันหลังจะไปทำบุญวันไหน ดูให้ดี เพราะที่ทางในวัดก็ไม่รู้จัก ไม่รู้ทางไหนเลี้ยวไปไหนมั่ง ใครอยู่ที่ไหนมั่ง

           ฉันก็เลยปรารภเรื่องหาศาสนาไม่เจอให้เจ้าหล่อนฟัง พลางถามว่า รู้จักวัดชลประทานฯไหม ได้ยินว่าเป็นแนวเดียวกับสวนโมกข์น่าจะมีอะไรดี เจ้าหล่อนก็เลยนัดพาไปทัวร์

           ไปถึงก็ชอบบรรยากาศมากเลย มีต้นไม้สูงใหญ่สสวย มีศาลาริมสระตรงสเปคเปี๊ยบ แค่นั่งดูเงาไม้ในน้ำก็สุดคุ้ม

           แล้วก็มาเจอศาสนาพุทธที่นี้เอง ห้องสมุดศาลาจำปีรัตน์ เทปธรรมะของท่านพุทธทาสกว่า 400 ม้วน หลวงพ่อปัญญาอีกกว่า 400 ม้วน

           ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่เริ่มต้นค้นหา หรือค้นหามานานแล้วยังไม่ถูกใจ หรือไม่พบแก่นของศาสนาพุทธ ลัดทางมาตรงนี้เถิดเทปฟังฟรีด้วย

 

ร่อนเร่มานาน   ถึงบ้านเสียที
มีเทปฟังฟรี    อยู่ดีสบายใจ
เลิกเที่ยวค้นหา  ไขว่คว้าอยู่ได้
ของอยู่ไม่ไกล    ชื่นใจพบธรรม