วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
02/10/2008
ที่มา: 
เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ "ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน"

เย้า

  • ชนเผ่าเย้า เดิมอาศัยอยู่ตามภูเขาในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งในประเทศจีน เย้าแบ่งเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะของอาชีพเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย และความเชื่อโดยแบ่งเป็นพวกแพนเย้า (pan Yao ) คือพวกมีอาชีพทางแกะสลักไม้ พวกฮุงเย้า (huagn yao ) เป็นพวกที่พันศีรษะด้วยผ้าแดง และพวกนานติงเย้า (nan ting Yao ) เป็นพวกที่สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินล้วน

หลังจากที่ถูกจีนรบกวน ชาวเย้าได้อพยพหนีเข้ามาอยู่ชายแดนพม่า อินโดจีน และเขตไทย เย้าที่เข้ามาอยู่ในเขตไทยนั้นเป็นพวกฮุงเย้า (hung yao ) อาศัยอยู่บนถูกเขาในจังหวัดเชียงราย คือ เขตอำเภอแม่จัน อำเภอเชียงคำมีอยู่บนดอยผาแดง อำเภอเชียงของที่ดอยหลวง อำเภอพานอยู่บนภูเขาทางทิศตะวันตกแม่ใจ และอำเภออื่นๆ ก็มีบ้าง ทั้งนี้ชาวเย้าที่อาศัยอยู่ในอำเภอเทิงแถบชายแดนติดต่อเขตเชียงของ ผู้หญิงแต่งกายผิดจากอำเภออื่นๆ คือใช้ผ้าแดงโพกศีรษะ

  • เย้าตั้งบ้านเรือนอยู่บน ไหล่เขาที่มีน้ำบริบูรณ์ อากาศบริสุทธิ์และพื้นที่เหมะสำหรับการทำไร่ หมู่บ้านหนึ่งมี 15 – 40 หลังคาเรือน แต่ละหมู่บ้านตั้งอยู่ห่างไกลกันบนพื้นดินซึ่งเทลาดลงไปในราว ๓๐ องศา ร้านที่ปลูกคร่อมบนพื้นดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผื้นผ้า ฝาไม้ไผ่สานขัดแตะ หันหลังติดกับเชิงเขา หน้าบ้านทำเป็นพื้นดินกว้าง ๑ เมตร เป็นทางเดินรอบบ้าน ภายในบ้านเกลี่ยพื้นดินให้เรียบเสมอกัน มุงหลังคาด้วยใบก๊อ ใบหญ้าคา ใบหวาย แต่บางครั้งใช้ไม้ไผ่สับแผ่เป็นแผ่น บางหลังใช้ไม้ไผ่ผ่าครึ่งตามทางยาวใช้ประกบกันทำเป็นหลังคาบ้าน ฝาผนังเตี้ย บางทีก็ใช้ไม้ผ่าด้วยลิ่มเป็นแผ่นกระดานตั้งทำเป็นฝาโดยมีไม้ขนาบ เพื่อใช้เป็นที่กำบังลมไปด้วย น้ำบริโภคนั้นมักใช้ไม้ซางต่อเป็นลำรางจากน้ำตกมาใช้ภายในบ้านเรือน

บ้านของชาวเย้ามีแบบแปลน คล้ายกันทุกบ้าน คือมีประตูเข้าบ้าน ทางซ้ายมือยกร้านเป็นห้องรับแขก และห้องนอนติดกันไป มีเตาไฟอยู่ ๒ เตา คือ เตาข้างหน้าใช้สำหรับตั้งกาน้ำรับแขกทำอาหาร เตาหลังทำอาหารให้สัตว์เลี้ยง มีครกตำข้าวอยู่ในบ้าน พื้นดินในบ้านถูกปรับให้เรียบเสมอกัน บางบ้านไม่ยกร้านแต่ใช้หนังสัตว์ปูลงบนพื้นดิน และนอนกับพื้น ทำแท่นบูชาหรือหิ้งดวงวิญญาณบรรพบุรุษไว้ภายในบ้านทุกหลังคาเรือนทำโรงม้า ยุ้งข้าว คอกหมู เล้าไก่ ไว้รอบบ้านโดยทำเพิงต่อจากชายคาบ้านออกไป แต่บางบ้านก็ทำโรงเลี้ยงสัตว์ไว้ต่างหาก

ในอดีต ช่วง พ.ศ.๒๔๙๓ ชาวเย้ามีอาชีพทางทำไร่ฝิ่น ข้าวเจ้า ข้าวโพด ยาสูบ และพืชไร่อย่างชาวเขาเผ่าอื่นๆ โดยเริ่มหว่านฝิ่นในเดือนกันยายน พอเดือนธันวาคม – มกราคม ก็ลงมือกรีด นอกจากทำการปลูกแล้วยังทำการค้าด้วย เช่น ที่ดอยภูลังกา เขตอำเภอปง ติดต่อดอยผาแดง อำเภอเชียงคำ มีชาวเย้าหลายหมู่บ้านแต่ละหมู่มีชาวเย้าไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน หัวหน้าชาวเย้าที่ดอยภูลังกาเป็นราชาแห่งการปลูกฝิ่น มีบ้านใหญ่โตอยู่บนเขา ชาวเย้าบริเวณนั้นขึ้นตรงต่อราชาคนดังกล่าวทั้งหมด ผู้ใดปลูกฝิ่นต้องนำมามอบให้เขาเป็นผู้จำหน่าย

พืชไร่อื่นมีฤดูปลูกต่าง กัน คือ ปลูกข้าวเจ้าพันธุ์เบาในปลายเดือน ๗ เหนือ (พฤษภาคม) เก็บเกี่ยวในเดือน ๑๒ (ตุลาคม) ข้าวโพดปลูกเดือน ๕ (มีนาคม) เก็บเกี่ยวเดือนกันยายน ในการปลูกนั้น ใช้ไม้ทิ่มลงไปในดิน และหย่อนเมล็ดข้าวโพด ๒-๓ เมล็ดลงไปแล้วเอาดินกลบ พอฝนตกลงมาสัก ๒-๓ ห่า พืชก็งอกขึ้น ข้าวโพดปลูกไว้สำหรับใช้เป็นอาหารของม้า หมูและไก่ ส่วนไร่ฝิ่นเลือกสถานที่ที่มีอากาศเย็น วิธีการปลูกก็คือขุดดินพลิกขึ้นก่อนแล้วหว่านเมล็ดฝิ่นลงไป พอต้นกล้าโตขึ้นก็ถอนให้ห่างกันประมาณ ๑ คืบ พอต้นฝิ่นโตออกดอกออกผล จึงเอามีดกรีดยางจากผลเก็บไว้ เริ่มหว่านฝิ่นในเดือนกันยายน กรีดในราวเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมกราคมก็หมด การเลี้ยงสัตว์มีเลี้ยงม้า ลา หมู ไก่ สุนัข สำหรับม้าและลานั้นเลี้ยงไว้ใช้เป็นยานพาหนะเดินทางไปตามไหล่เขา

เย้ามีรูปร่างหน้าตา คล้ายชาวจีนยูนนาน แต่ภาษาผิดเพี้ยนกันไป ใช้ตัวหนังสือจีน เครื่องแต่งกายของชายเหมือนกับชาวยูนนานหลายอย่าง แต่แตกต่างเพียงเครื่องแต่งกายผู้หญิง ซึ่งเป็นไปคนละแบบ ถ้าจะกล่าวถึงขนบประเพณีแล้ว ชาวเย้าก็ไม่แตกต่างอะไรกับจีนฮ่อ เข้าใจว่าคงเป็นชนชาติจีนเผ่าหนึ่งที่ใช้ภูเขาสูงเป็นที่พำนัก ผู้ชายไว้ผมม้า คือมีผมหย่อมเดียวตรงกลางขวัญ โพกศีรษะด้วยผ้าสีดำ หรือสวมหมวกกลมมียอดเป็นจุก ปัจจุบันตัดผมสั้นแบบธรรมดา สวมเสื้อดำหลวมๆ แขนยาวผ่าอก ป้ายข้าง กางเกงสีดำขายาวแบบจีน ถ้าเป็นคนแก่เวลาไปประกอบพิธีอะไรมักจะมีผ้าขาวพาดบ่า เด็กหนุ่มติดผ้าสีขาวตามขอบริมชายเสื้อ และปักลวดลายเป็นจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงใต้อกด้านใดด้านหนึ่ง ที่เสื้อผ่าข้างติดกระดุมโลหะเงินกลมๆ เป็นแถวลงมา

  • เครื่องแต่งกายของ ผู้หญิงเย้า คือโพกศีรษะด้วยผ้าสีดำยาว ๕-๖ วา เป็นก้อนกลมปิดผมตอนบนหมด ปักดอกลวดลายสีขาวเขียวเหลืองที่ปลายผ้า เช่น ผ้าโพกศีรษะของหญิงเย้าดอยผาแดง อำเภอเชียงคำ จังหวัดเชียงราย แต่หญิงเย้าเขตอำเภอเทิงตอนต่อเขตเชียงของ ใช้ผ้าสีแดง สวมเสื้อสีดำพอหลวมๆ จากคอถึงข้อเท้าแต่ผ่าอกถึงเอว ตอนเอวข้างผ่าจากระดับปุ่มกระดูกเชิงกรานลงไปทั้งสองข้าง คล้ายเป็นผ้า ๒ ผืนปิดหน้าปิดหลัง สำหรับผ้าด้านหน้าบางที่ใช้ตวัดพันทับผ้าคาดท้องอีกชั้นหนึ่ง แขนเสื้อตอนผ่าอกจนถึงท้องน้อยนั้น ติดด้วยปุยฝ้ายทำเป็นแบบขนสัตว์ย้อมสีแดง ด้านหลังห้อยผ้าฟั่นเป็นเกลียว ๕-๖ เกลียว ติดเหรียญเงินและลูกเดือยปลายผ้าทำเป็นพู่ห้อยลงมาถึงเอวหลัง สวมกางเกงพื้นดำขายาวไม่กว้างไม่แคบ แต่กางเกงนั้นปักเป็นลวดลายสีต่างๆ เป็น จุดเล็กๆ เรียงเป็นชั้นๆ สวยงามเต็มไปทั้งผืนชายชาวเย้ามีเกณฑ์เลือกภรรยา โดยดูฝีมือปักกางเกงของหญิง ถ้าปักลายละเอียดได้ระยะ รู้จักเลือกจัดสีสันสวยงามแล้ว นิยมว่าหญิงนั้นหมั่นขยันในการงาน มีความประณีตละเอียดลออ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เอาใจใส่ต่อสามี เหย้าเรือน ญาติพี่น้อง บุตรและยังทำไร่ได้ดีอีกด้วย

หญิงชาวเย้ามีผ้าดำผืน ใหญ่รัดเอวหลายรอบ เหน็บชายผ้าที่ปักดอกลวดลายไว้ข้างหลังที่กลางตะโพก ที่คอสวมห่วงคอเงินอย่างน้อย ๑ อัน เกือบทุกคน ต่างหูเงินเป็นรูปกลมเหมือนวงแหวน ตรงกลางวงมีลูกศรชี้ลงมา ที่ข้อมือสวมกำไลมือ ๑ อัน ผู้มีฐานะอัตคัดไม่สวมกำไลมือหรือห่วงคอ ผู้หญิงทุกคนมีปิ่นปักผม เวลาคันศีรษะใช้ปิ่นเขี่ย เพราะผมของเขาม้วนเป็นมวย ผูกผ้าแดง ติดด้วยชันอีโลมหรือขี้ผึ้ง พันศีรษะทับด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง ผู้หญิงเย้าจะโกนหน้าเกลี้ยงเกลาประกอบกับผิวขาวแก้มแดงเปล่งปลั่งอยู่เสมอ จึงดูสวยงามและดูสะอาด

  • เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านและสำหรับประกอบการทำไร่ ล่าสัตว์ ทำขึ้นใช้เองแทบทั้งหมด โดยใช้กระบอกไม้ซางหรือน้ำเต้าแทนกระป๋องน้ำ มีดพร้า จอบ เสียม ปืน กำไลมือ ห่วงคอ ฯลฯ เหล่านี้ทำขึ้นเอง เครื่องประดับกายทำด้วยโลหะเงินล้วน ไม่นิยมใช้ทองคำเพชรนิลจินดา เครื่องใช้ในครัวเรือนใช้อย่างเดียวกับชาวเขาอื่น การกินอยู่ง่าย มีน้ำมันหมูกับผัก เกลือ ก็กินได้แล้ว ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าว ไม่รับประทานพริก ชอบอาหารมีรสจืดอย่างชาวจีน สุราทำด้วยข้าวเปลือกและข้าวโพด ชอบสูบบ้องยาสูบรูปร่างอย่างบ้องกัญชา ผู้ชายสูงอายุติดฝิ่นแทบทุกคน

  • เย้ามีภาษาคล้ายภาษาจีน และมักพูดภาษาจีนกลางได้ ตัวหนังสือเขียนอย่างจีนทุกตัวอักษร ชื่อผู้ชาย เช่น แฉ่งฟิน อู้เฟ ซานโจ ซู่จ้อย อู้ก๋วย ฟุเจียว หวั่นเจียม จันฟุ แส้งเซี่ยว ต่อออน กิมฮิน หว่านเอี๋ยน อ้วนจิ่ว ฯลฯ ชื่อผู้หญิง เช่น มะเหม อิ๋มเฟ๋ มามัน อิ๋มฟาม กุเหมย ม่วยไหน มุ่ยเฟย มุ่ยลั่ว ฯลฯ ชื่อสัตว์สิ่งของ เช่น เอี้ยน-ถ้วย เฮ้-รองเท้า มั่ว-หมาก ดุย-เสื้อ หาง-ข้าว อวม-น้ำ ตูง-หมู ใจ-ไก่ ราง-บ้าน ฮวบติ้ว-ดื่มสุรา ฮวยอวม-ดื่มน้ำ มิ่งหายต้าย-ไปไหนมา เยี้ยมนงยั่นนง-สบายดี ย่านฮางเมียะ-รับประทานอาหารหรือยัง มิ่งย่าว-ไปเที่ยว ล่งอี้ล่ง-เอาหรือไม่ ปั้วอิน-สูบฝิ่น อื่กะยั้น-ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ฯลฯ การเรียนหนังสือนั้น แม้ไม่มีโรงเรียนสอนแต่ก็อาศัยเรียนกับชาวจีนฮ่อ บิดา ปู่ หรือลุงเพราะชาวจีนฮ่อมักอยู่รวมกับชาวเย้าเสมอ เครื่องดนตรี มีฆ้อง กลอง ปี่ ฉิ่ง ฆ้องใช้ในงานพิธีต่างๆ เช่น แต่งงาน งานศพ งานปีใหม่ ฯลฯ
  • ชาวเย้า เป็นชนชาติที่มีกำลังใจเข้มแข็งทรหดอดทนได้รับการศึกษา และมีความเป็นอยู่ดีกว่าบรรดาชาวเขาทุกพวก ถ้าเห็นแขกต่างถิ่นขึ้นไปเยี่ยมเยียนฉันมิตรแล้ว เขาจะต้อนรับเป็นอย่างดี มีใจคอกว้างขวาง รักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสบงบ มีความคิดสุขุม บางขณะเข้มแข็งเด็ดขาด มีความสัตย์เป็นศีลธรรมประจำใจ เมื่อเพื่อนบ้านจะปลูกสร้างบ้านเรือนก็หยุดการไปไร่มาช่วยกันทำงานทั้งหมู่ บ้าน เพียง ๒-๓ วันก็เสร็จ เจ้าของบ้านจะฆ่าหมูไก่เลี้ยงพร้อมทั้งสุรา ตลอดเวลาที่ชาวบ้านมาช่วยงานเมื่อเสร็จแล้วทำหิ้งเจ้าไว้ในบ้าน มีถ้วยสุรากระดาษเงิน กระดาษทอง ธูปไม้ พร้อมเครื่องเซ่น ซึ่งมีหมู ไก่ และสุรา กล่าวคำอัญเชิญผีเรือนหรือดวงวิญญาณบรรพบุรุษลงมาสังเวยเครื่องเซ่น แล้วเผากระดาษเงินกระดาษทอง บางทีก็เขียนตัวหนังสือด้วยถ้อยคำอันเป็นมงคลกับตนและครอบครัว แล้วเผาต่อหน้าหิ้งเจ้าหรือหิ้งผีนั้นหรือที่เรียกว่า “ เมี่ยนเตีย ” หมายถึงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ๓ รุ่น คือ ทวด ปู่ และบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว

  • ชาวเย้านับถือผี ถือว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติของผีหรือเทพารักษ์ มีผีฟ้า ผีลม ผีดิน ผีป่า ผีบ้าน ผีไร่ ผีหลวง ผีไร่ทำการเซ่นในเวลาจะตัดฟันต้นไม้ทำไร่ ผีหลวงซึ่งเป็นผีประจำหมู่บ้านหรือประจำเมืองนั้น ทำพิธีเลี้ยงเดือนกุมภาพันธ์โดยจะฆ่าหมูเซ่นผีทุกหลังคาเรือน มีการตีฆ้อง เป่าปี่ร้องเพลง ดื่มสุราอาหาร แต่งตัวสวยงาม สนุกครึกครื้นยิ่งพวกเขาจะหยุดงาน ๓ วัน ไม่ออกไปไร่หรือไปต่างหมู่บ้านผีบ้านก็พลอยถูกเลี้ยงพร้อมไปด้วยในคราวเดียว กัน

  • งานปีใหม่เรียกว่างาน “ กินเจี๋ยง ” ตรงกับตรุษจีน ทุกคนจะหยุดงาน ๓ วัน ก่อนวันขึ้นต้นปีใหม่ทุกบ้านจะฆ่าหมูและไก่ โดยเลือกหมูตัวใหญ่ ต้มกลั่นสุราข้าวเปลือกและข้าวโพดทุกบ้านการฆ่าหมูและไก่นั้นทำในตอนเช้า โดยเอาเชือกผูกเท้าสัตว์ติดกัน ชักมีดแทงตรงคอ ไม่ใช้ค้อนทุบ เอากระบอกไม้รองเลือด ตั้งกระทะต้มน้ำ เอาน้ำร้อนลวก ขูดเอาขนออก ต้มให้สุก ยกนำไปเซ่นเจ้าหรือผีเรือนทั้งตัว โดยมีสุราติดไปด้วย เจ้าบ้านจุดธูป เอากระดาษฟางมาเขียนชื่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งตนนับถือ เผาพร้อมกระดาษเงินกระดาษทองที่สุสานก็นำเครื่องเซ่นไปไหว้ด้วย ครั้นเสร็จแล้วก็นำมาเลี้ยงชาวบ้าน ตลอดงานสนุกรื่นเริงด้วยการตีฆ้อง ยิงปืน เป่าปี่ เต้นรำ ร้องเพลง แห่ไปเยี่ยมเยียนกันทุกบ้าน เจ้าของบ้านเอาสุราอาหารมาเลี้ยง ทุกคนแต่งกายด้วยเครื่องประดับอย่างสวยงาม

  • การเที่ยวสาวชาวเย้า มีการพบปะสนทนาเกี้ยวพาราสีกันได้หลายแห่ง คือที่ไร่หรือที่บ้านหญิงสาว โดยการนัดแนะหญิงสาวให้ไปสนทนากันนอกหมู่บ้าน ชายหนุ่มต่างหมู่บ้านมักเดินทางเที่ยวหาซื้อฝิ่นอยู่เนืองๆ บางคนเกิดพบปะชอบพอรักใคร่หญิงสาวในขณะมาทำการค้าขาย ก็เฝ้าเวียนขี่ม้าข้ามยอดเขาสูงๆ ไปเที่ยวสาวในระยะทางไกลๆ พอไปถึงก็พักอยู่บ้านใกล้เคียง ผิวปากร้องเพลงให้หญิงทราบว่าตนมา เมื่อหญิงโผล่หน้าออกมา ก็นัดให้หญิงทราบว่าตนมา เมื่อหญิงโผล่หน้าออกมา ก็นัดให้หญิงออกไปพบปะในป่านอกหมู่บ้าน สนทนาเกี้ยวพาราสีกัน ถ้าหญิงชอบชาย ชายจะตามเข้าไปนอนในห้องด้วยในตอนดึก แต่พอจวนสว่างต้องรีบหลบออกมาแม้บิดามารดาหญิงสาวทราบเรื่องก็ไม่ว่าอะไร

ถ้าฝ่ายชายพอใจเอาหญิง เป็นภรรยา ก็บอกบิดาของตนไปสู่ขอ บิดาหรือญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายแต่งกายอย่างงาม ขี่ม้าใส่อานประดับด้วยพู่ไหมสีต่างๆ ห้อยลูกกระพรวน ขึ้นเขาไปพักค้างแรมบ้านฝ่ายหญิง สนทนาวิสาสะกล่าวถึงความสัมพันธ์รักใคร่ได้เสียกันของหนุ่มสาว บิดาฝ่ายหญิงจะไต่ถามถึงวันเดือนปีของฝ่ายชาย เรียกหมอผีประจำหมู่บ้านมากางคัมภีร์ถ้าชะตาถูกต้องกันก็แต่งงานได้ ถ้าไม่ถูกต้องกันก็ไม่ให้ ที่ได้เสียกันจนมีครรภ์นั้นไม่เป็นไร ถือว่าฝ่ายหญิงได้กำไร ถ้าชะตาถูกต้องันก็ต่อราคาค่าตัวเงินสินสอดจะมากน้อยเท่าใด ชำระสดก่อนเท่าใด ที่เหลือนั้นจ่ายเมื่อไร เรื่องราคาค่าตัวหญิงสาวนั้นจะถูกหรือแพงต่างกัน หญิงสาวธรรมดาราคาถูกกว่าหญิงสาวมีลูกติดหรือหญิงสาวมีครรภ์ตั้งเท่าตัว เพราะถือว่าผู้ใดได้ไปเหมือนได้คน ๒ คน ความบริสุทธิ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ถ้าสาวไม่มีลูกราคาประมาณเงิน ๑๐ แท่ง(แท่งหนึ่งหนัก ๒๕ บาท) หญิงมีลูกติดประมาณ ๑๕-๒๐ แท่ง (หนึ่งแท่งซื้อขายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๙๓ ราคา ๑๕๐ บาท) เท่ากับซื้อผู้หญิงไปเป็นทาสและภรรยา เพราะขนบธรรมเนียมชาวเย้า ผู้หญิงทำงานทำไร่ ผู้ชายอยู่บ้านนอนสูบฝิ่น เมื่อสามีตายลง พ่อผัวแม่ผัวมีสิทธิ์ที่จะเรียกเงินค่าสินสอดจากชายคนใหม่อีกได้ คล้ายๆ กับถือผู้หญิงเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน มีบุตรหลายคนราคาค่าตัวก็เพิ่มสูงขึ้น สำหรับหญิงสาวนั้นค่าของตัวสูงหรือต่ำ จะดูจากฝีมือการปักลวดลายบนผืนกางเกงที่หญิงสาวสวม เงินที่ตกลงกันนี้ถ้าฝ่ายชายไม่มีพอก็ผัดไปก่อนว่านำมามอบให้พ่อตาแม่ยาย เมื่อไร จะเป็น ๒-๓ ปี หรือจนมีบุตรธิดาหลายคนก็ได้แล้วแต่ตกลงกัน ซึ่งบางทีชายตายเสียก่อน บุตรธิดาจำเป็นต้องหาเงินมาใช้แทน

เมื่อหมอผีอ่านคัมภีร์ หรือคำกล่าวของดวงวิญญาณบรรพบุรุษนั้นแล้วว่ามีชะตาต้องกัน ฝ่ายชายนำเอากำไลแขนเงิน ๒ อัน ซึ่งมีน้ำหนัก ๒๕ บาท ซึ่งเท่ากับเงินแท่ง ๑ แท่งมอบให้หญิงสาว เพื่อทดลองน้ำใจดูว่าจะสมัครรักใคร่และเต็มใจเป็นภรรยาของเขาหรือไม่ ถ้าหญิงสาวเอากำไลหมั้นใส่แขนไว้แสดงว่าหญิงสาวสมัครใจ ชายจะฆ่าไก่ ๑ ตัว นำสุรา ๑ ขวด ไปเลี้ยงครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อแสดงความยินดี ต่อมาจะนำไก่อีก ๑ ตัว สุราอีก ๑ ขวด ไปตกลง “ ซื้อ ” หญิงสาวผู้นั้นอย่างแน่นอนและกำหนดวันแต่งงาน ซึ่งเขาเรียกว่า “ กินดอง ” โดยวางมัดจำเป็นเงิน ตามแต่จะเห็นสมควร กะเวลาไว้ประมาณ ๖ เดือน เพื่อให้หญิงสาวปักกางเกง เย็บเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มสำหรับเข้าพิธีแต่งงานได้ทัน

พอครบกำหนดแต่งงาน ฝ่ายชายเอาหมูใหญ่ไปมอบให้บ้านหญิงเพื่อฆ่าเลี้ยงผีเรือน ก่อนวันแต่งงานประมาณ ๕- ๖ วัน เขาจะเชิญเจ้าสาวมาบ้านเจ้าบ่าว ให้นั่งคู่กันหน้าหิ้งผี หรือหิ้งเจ้า บอกให้ผีเรือนหรือดวงวิญญาณบรรพบุรุษให้ทราบ โดยฆ่าไก่แล้วเอาขนไก่ชุบเลือดนำไปติดฝาตรงหิ้งผี ถ้าติดถือว่าดี ถ้าไม่ติดถือว่าผีเรือนไม่ชอบ การทำพิธีบอกผีเรือนมีหมอผีจุดธูปไม้ เอากระดาษเงินกระดาษทองมาตัดเป็นแฉกๆ เขียนชื่อวันเดือนปีเกิดของเจ้าบ่าวเจ้าสาวลงไป เผาไฟราว ๕ นาที หมอผีจะกล่าวแจ้งให้ผีเรือนทราบว่า คนทั้งสองจะแต่งงานกันขอให้อยู่ดีกินดี

การแต่งงานมีกำหนด ๓ วัน วันแรกแห่เจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาว เลี้ยงแขกฝ่ายชาย เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องทำพิธีไหว้ผีเรือนทุกวัน วันละ ๒ ครั้ง คือ เวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา กับ ๑๕.๐๐ นาฬิกา ชาวบ้านที่มาร่วมงานนั้น เจ้าบ่าวต้องตัดเนื้อหมูให้กลับไปบ้านคนละ ๑ กิโลกรัม เลี้ยงอาหารชาวบ้านพร้อมสุราตลอดงาน มีการเป่าปี่ตีฆ้องร้องเพลง คนเฒ่าคนแก่จะเขียนคำอวยพรบนกระดาษเยื่อหน่อไม้แล้วเซ่นผีเรือน อ่านคัมภีร์เป็นวรรคๆ วรรคละ ๔ พยางค์ นานรวมชั่วโมง ทุกวันแขกที่มาจะผูกข้อมือคู่บ่าวสาวและให้พร การแต่งงานนี้ต้องหมดเปลืองมาก บางทีฆ่าหมู ๑๐ -๒๐ ตัว ผู้ที่อัตคัดยากจนต้องกู้ยืมเงินไปประกอบพิธี หรือบางทีก็ทำพิธีกันเพียงเล็กน้อย

ผู้หญิงเย้า เป็นคนขยันขันแข้งในการทำงานมาก การทำไร่เป็นหน้าที่ของหญิงโดยตรง ตลอดจนทำอาหารให้สามี สมาชิกในครอบครัว หุงอาหารให้สัตว์เลี้ยง ถ้าชายมีฐานะร่ำรวยไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้หญิงทำงานตามลำพัง แต่ถ้าชายยากจนต้องขวนขวายหาเงินไปให้ผู้ที่กู้ยืมเขามาประกอบพิธีแต่งงาน ก็ต้องช่วยหญิงทำงาน ผู้หญิงเย้าถือเสมือนทาสรับใช้ ถ้าหญิงทำงานไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยหารายได้ไม่พอเลี้ยง ไม่นำความสุขสู่สามี สามีจะแต่งงานหาภรรยาน้องมาช่วยทำมาหากินอีกคนหนึ่ง ถ้าไม่พอกินก็แต่งงานอีกเรื่อยไปจนพอกิน รางวัลสำหรับภรรยาที่ทำงานดีตลอดปีนั้น คือให้ไหมพรมหรือถ้าขายฝิ่นได้เงินมากก็ซื้อห่วงคอเงินให้สัก ๑ ห่วง หญิงเย้าไม่ได้นั่งนอนอยู่บ้าน ถึงมีครรภ์ มีบุตรเล็กอยู่ก็ต้องไปทำงานที่ไร้ โดยเอาบุตรใส่หลังไปด้วย เวลาจะทำงานตัดฟันไม้ เอาผ้าผูกทำเปลติดกับกิ่งไม้ ผู้หญิงตามปกติต้องตื่นนอนก่อนชายเสมอ หญิงใดตื่นสาย สามีมีสิทธิ์ที่จะทุบตีได้ บางทีตื่นนอนตั้งแต่ ๔-๕ นาฬิกา แล้วตำข้าว ต้มผักให้หมู หาหญ้าให้ม้า ทำอาการไว้คอยสามี เมื่อสามีตื่นนอนแล้วจึงไปไร่

ถ้าเด็กตามนำไปฝัง โดยไม่มีพิธีอะไร ถ้าอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป พอตายก็ยิงปืนขึ้นสู่ท้องฟ้า คล้ายเป็นสัญญาณแจ้งข่าวการตายให้ชาวบ้านทราบ เจ้าของบ้านขอแรงชาวบ้านไปตัดฟันม้ในป่ามาทำโลง ซึ่งโลงนั้นทำเป็นโลงสี่เหลี่ยมมีฝาปิดเปิด ฆ่าหมูทำพิธีเซ่นอัญเชิญผีเมืองผีฟ้ามาสังเวย เอากระดาษมาตัดเป็นแฉกๆ เขียนชื่อผู้ตายเผาไฟคล้ายส่งวิญญาณขึ้นสวรรค์ ส่งเครื่องใช้ประจำตัวของผู้ตายไปยังป่าช้านำศพฝังไว้ตรงข้างทาง ซึ่งหมอผีเป็นคนกำหนดให้ว่าจะฝังไว้ ณ ที่ใด โดยวิธีเสี่ยงทาย ภายหลังเมื่อนำศพไปฝังเรียบร้อยแล้วก็ฆ่าหมูอีก ๑ ตัว เพื่อเลี้ยงผู้ที่มาช่วยงาน เป็นอันเสร็จพิธี เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่มีการจัดเครื่องเซ่นไปทำบุญ และวิงวอนขอดวงวิญญาณของผู้ตายช่วยเหลือคุ้มครองภยันตรายให้