วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
03/10/2008
ที่มา: 
เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ "ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน"

ฮ่อ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำว่า ฮ่อ เป็นการเขียนแบบเลียนเสียงท้องถิ่นตามแบบของไทยภาคกลาง ซึ่งแท้จริงแล้วคนภาคเหนือจะออกเสียง ห้อ ( เสียงครึ่งตรีครึ่งโท ) และในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เขียน หร้อ แต่เพื่อเป็นความสะดวกของคนทั่วไปและตามที่เขียนในต้นฉบับ จึงใช้ “ ฮ่อ ”

ชาวฮ่อหรือคนจีนที่อยู่ ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีนซึ่งมีอาณาเขตตอนใต้ติดต่อกับรัฐฉานของพม่า แคว้นลาวอินโดจีนเหนือ และอยู่ไม่ห่างไกลจากเขตไทยตอนเหนือสุด ชาวฮ่อเรียก ตัวเองว่า “ ยูนนานเย่อ ” หรือ “ “ หานจื้อเย่น ” ชาวเหนือและชาวไทใหญ่ เรียกว่า “ ฮ่อ ”

  • ชาวฮ่อ แบ่งออกเป็น 2 พวก คือพวกนับถือศาสนาอิสลาม เรียกว่า “ ผาสี ” ซึ่งหมายถึงคนจีนยูนนนานที่เข้ารีตทางศาสนาอิสลาม ไม่รับประทานหมู ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองอีซี กับเมืองห่วยซี ใต้นครคุรหมิงแห่งมณฑลยูนนาน ชาวฮ่อผาสีได้เดินทางนำม้าและลาบรรทุกสินค้า เป็นกองคาราวานมาขายให้แก่ชาวเหนือ เมื่อ 50-60 ปีก่อน ( นับจาก พ . ศ .2490) และบางคนมีภรรยา ปลูกสร้างบ้านเรือนเป็นหลักฐานอยู่ในเมืองเชียงรายและเชียงใหม่หลายครอบครัว

ชาวฮ่ออีกพวกหนึ่งเรียก ว่า “ ผาห้า ” รับประทานหมู ไม่เข้าจารีตศาสนาอิสลาม นับถือดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว มีขนบธรรมเนียมนับถืออย่างเดียวกับชาวจีนทั่วไปพวกหลังนี้ได้เข้ามาอยู่ เมืองเชียงรายอย่างกระจัดกระจายตามเขตเจริญในอำเภอต่าง ๆ แห่งละ 5-10 คน เช่น ที่อำเภอ แม่สาย อำเภอเชียงของ ตามบนภูเขา เช่น ดอยช้าง เขตอำเภอเมือง ดอยผาแดง ดอยผาหม่น เขตอำเภอเชียงคำ ก็มีชาวฮ่อผาห้าอยู่ปะปนกับชาวเย้า เพราะใช้ภาษาและตัวหนังสือคล้ายคลึงกัน พวกฮ่อเหล่านี้โดยมากเดินทางตระเวนหาซื้อฝิ่นจากชาวเขาในเขตไทย อินโดจีน พม่า หรือบางทีก็เดินทางหาซื้อฝิ่นจากยูนนานตอนใต้แล้วนำมาขายอีกต่อหนึ่ง

ในมณฑลยูนนาน มีพวกฮ่อที่นับถือศาสนาอิสลามน้อยฮ่อผาสี มักตั้งอยู่รวมกันเป็นเมืองหนึ่งต่างหาก เช่น เมืองอีซี เมืองห่วยซี ตามร้านขายอาหารในเมืองต่าง ๆ เขตยูนนาน ถ้าเป็นร้านของชาวฮ่อผาสีแล้ว จะมีตัวอักษรแขกติดอยู่ในร้าน พร้อมทั้งภาพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเมกกะ อันเป็นที่นับถือของเขาติดอยู่

ชาวฮ่อทั้งสองพวกนี้ ติดต่อกันในทางค้าขาย ชาวฮ่อผาห้าเป็นคนมีใจคอกว้างขวาง คบค้าสมาคมกับชนชาติต่าง ๆ ได้ง่าย สำหรับพวกผาสี เนื่องจากลัทธิศาสนาบังคับทำให้ดูคล้าย ๆ กับเป็นคนใจแคบ ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับคนต่างศาสนา เขาจะไม่อภัยให้แก่บุคคลผู้กล่าวคำโต้แย้งกับพระคัมภีร์ ของพระผู้เป็นเจ้าแห่งศาสนาของเขาเลย ชาวฮ่อผาสีที่มาตั้งหลักฐานอยู่ในจังหวัดเชียงรายมีบุตรหลานกลายเป็นชาว เหนือ เฉพาะเครื่องแต่งกายเท่านั้น ส่วนจิตใจยังคงเป็นชาวฮ่ออย่างเดิม ทั้งนี้เพราะผู้ใหญ่คอยเข้มงวดกวดขันทางศาสนาและการคบค้าสมาคมอยู่ตลอดเวลา เคยปรากฏครั้งหนึ่งที่มีบุตรสาวของชาวฮ่อคนหนึ่งรักใคร่ กับชายต่างศาสนา เขาถึงกับตัดขาดกันเมื่อบุตรสาวหนีตามชายนั้นไป แต่สำหรับชาวฮ่อผาห้าหรือพวกฮ่อนอกจากรีตอิสลามนั้น บุตรหลานที่เกิดมาได้กลายเป็นชาวเหนือไปแล้ว

การตั้งถิ่นฐาน มณฑล ยูนนานมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล พื้นที่ราบมีน้อย โดยมากมีภูเขาสูงเรียงรายอยู่ติดกันเป็นพืด การเดินทางติดต่อกันโดยวิธีเดินเท้าและขี่ม้า ทางรถไฟมีอยู่สายเดียว คือจากวินเยนเหนือเมืองฮานอย ( อินโดจีนเหนือ ) ผ่านเมืองเชงเกี่ยงไปสู่เมื่องคุณหมิง ถนนสายยาวที่สุดคือถนนสายพม่า - ยูนนาน

ภูมิประเทศทางภาคใต้ยู นนานกับภาคกลาง และภาคเหนือไม่เหมือนกับยูนนานตอนใต้ เช่น แถบเมืองเชียงรุ่งและเมืองซึเหมา เมืองดังกล่าวมีต้นไม้เขตโซนร้อนขึ้นบนภูเขาเต็มพืดไปหมด แต่ตอนเหนือขึ้นไปบนภูเขาต่าง ๆ มีต้นไม้เฉพาะที่สงวนเอาไว้ริมห้วยลำธาร นอกนั้นเป็นภูเขาหัวโล้น สภาพความเป็นอยู่จึงค่อนข้างจะแร้นแค้น ทั้งพืชผลต่าง ๆ ก็เป็นประเภทที่ขึ้นในโซนปานกลางหรือโซนหนาว คือมีต้นสนมากที่สุดไม่มีต้นหมากหรือต้นมะพร้าว เนื่องจากยูนนานเป็นอาณาจักรแห่งภูเขา การตั้งบ้านเรือนจึงอยู่ตามที่ราบเชิงเขา และทำนาทำสวนกันบนเนินโดยทำเป็นแปลงลดหลั่นกันลงเป็นชั้น ๆ กั้นเอาน้ำในลำห้วยลำธารมาใช้ แต่ไม่ใคร่จะพอ ต้องอาศัยน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างปรอย ๆ ที่นาตามที่ราบมีน้อย โดยเหตุนี้บรรดาพ่อค้าต่างเมืองจึงต้องมีเสบียงอาหารข้าวสารบรรทุกม้าลาติด ตัวไปด้วย

ชาวฮ่อชอบตั้งบ้าน เรือนอยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่มีชนชาติอื่นเข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่ปะบน โดยเหตุที่มีการปล้นสะดมเสมอชาวฮ่อจึงไม่แยกันอยู่เหมือนตามชนบทของเรา เขาทำกำแพงเมืองล้อมรอบอย่างใหญ่โต มีประตูปิดเปิดได้ ถ้ามีคนแปลกปลอมเข้าไป ก็จะถูกสอดส่องดูการเคลื่อนไหวอยู่ทุกระยะกำแพงเมื่อสร้างด้วยอิฐิดินฉาบปูน หนา 2-3 ศอก สู 5-6 เมตร ตอนบนทำเป็นหลังคามุงกระเบื้องดินเผาเป็นลูกคลื่นแบบหังคาวัดจีน

ภายในกำแพงเมืองมีกำแพง แห่งตระกูลอีกเป็นชั้นที่สอง ตระกูลใดมีสมาชิกมากก็ปลูกสร้างบ้านรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ แล้วก่อกำแพงล้อมรอบ มีประตูปิดเปิดประตูเดียวมีช่องเล็ก ๆ ขนาดเอาปืนวางยิงต่อสู้บุคคลภายนอกได้ ทำหลังคาและกำแพงเช่นเดียวกันกับหลังคากำแพงเมือง เหตุทั้งนี้เพราะมีพวกโจรต่างถิ่นยกเข้ามาปล้นสะดมอยู่เป็นนิตย์ มีจำนวนโจรตั้งแต่ 50-500 คน พวกโจรโดยมากเป็นพ่อค้ากองคาราวานที่ทำการค้าขายเร่ร่อนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อเห็นเมืองไหนมีกำลังน้อยกว่าฝ่ายตน ก็ยกเข้าทำการปล้นสะดมบางทีก็เป็นชาวเมืองทั้งเมืองซึ่งมีอาชีพทางโจรกรรม เห็นว่าเมืองไหนกำลังน้อยพอจะยกพวกปล้นไปได้ก็ยกไป และเพื่อไม่ให้ชาวเมืองจำได้เขามักมอมหน้าหมด บางพวกเข้าปล้นอย่างเปิดเผยไม่ต้องมอมหน้า พวกปล้นเหล่านี้ชอบเดินทางไปปล้นในถิ่นไกล ๆ เพราะการคมนาคมติดต่อกันไม่สะดวก รัฐบาลจีนเองก็มีปัญหาเพราะต้องสู้รบ กับพวกเดียวกันอยู่ตลอดเวลาทั้งอาณาเขตประเทศจีนกว้างขวาง ดูแลปกครองไม่ทั่วถึงชาวเมืองแต่ละเมืองจึงจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อรักษาผล ประโยชน์ตนเอง

ในบริเวณกำแพงแห่งตระกูล นั้น สมาชิกในตระกูลจะปลูกตึกดิน 2 ชั้นเตี้ย ๆ อยู่เป็นหลัง ๆ ไป ผู้มีฐานะก็ปลูกกว้างขวางใหญ่โต ผู้ที่อัตคัดหรือเป็นบริวารก็ปลูกหลังเล็ก หลังคามุงด้วยกระเบื้องอย่างวัดจีน บางหลังมุงด้วยฟางหนาราว 1 ศอกมีลานดินอยู่ตรงกลางสำหรับมีพิธีรื่นเริงหรือกิจกรรมในดำเนินชีวิต แต่ละบ้านเลี้ยง ม้า ลา วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ และแพะ โดยจะทำเล้าไก่ เล้าเป็ด คอกวัวควาย และคอกหมูไว้ต่างหาก ส่วนม้าลาก็ทำเป็นโรงติดอยู่กับตัวบ้าน ตอนบนของโรงม้าลาทำเป็นที่พักแก่แขกที่มาเยือน ยุ้งข้าวใช้เป็นที่เก็บข้าวฟ่อน คือชาวฮ่อเก็บเอาข้าวไว้ทั้งต้นรวมทั้งเมล็ดข้าว และกองฟาง เมื่อจะดำก็ฟาดเอาเมล็ดข้าวเปลือกออก การตำข้าวใช้มาเทียมไม้ท่อนซึ่งมีวงล้อสำหรับนวดข้าวเดินเป็นรูปวงกลมรอบ ๆ ฟางที่ได้จะใช้เลี้ยงสัตว์ ใช้มุงหลังคาบ้านและใช้แทนฟืนหุงต้ม เพราะยูนนานตอนเหนือขาดแคลนฟืน ภูเขาที่มีอยู่ก็เป็นภูเขาหัวโล้นไปหมด

การปลูกบ้านของชาวฮ่อจะ ใช้ไม้น้อยที่สุดเพราะไม้หายาก จึงใช้ดินมาปั้นเป็นก้อน ๆ โดยไม่ต้องเผาไฟ ทำเป็นอิฐก่อกันเป็นตึก 2 ชั้นเตี้ย ๆ ข้างบนทึบ ชายคายื่นล้ำลงมาเพื่อกันไม่ให้ฝนสาดฝาพังทลาย และเพื่อป้องกันอิฐดิบนั้น ชาวฮ่อจึงใช้ปูนผสมดินเหนียวกับทรายฉาบนอกอีกชั้นหนึ่ง ภายในบ้านชั้นล่างทำเป็นที่รับแขกและหุงอาหาร ชั้นบนเป็นที่หลับนอนของเจ้าของบ้าน ความใหญ่เล็กของตึกก็แล้วแต่ฐานะ การปลูกสร้างนั้นไม่มีการขอแรงช่วยกัน ทุกอย่างต้องจ้างทั้งนั้นนับตั้งแต่ปั้นดินเหนียวเป็นก้อน จนกระทั่งเสร็จเป็นหลัก เมื่อปลูกสร้างเสร็จก็ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ เซ่นเจ้าอย่างแบบจีนโดยเอาผ้าผืนใหญ่ มาเขียนตัวอักษรจีนปิดไว้บนขื่อและประตู ห้อยชายลงมา ในวันขึ้นบ้านใหม่นั้น เจ้าของบ้านจะฆ่าหมูไก่เปิดและแพะ ปรุงเป็นอาหารเลี้ยงชาวบ้าน คนเฒ่าคนแก่มารับประทานน้ำชา อาหาร มีการเล่นละครแบบยูนนานคล้าย ๆ งิ้วในงานนี้มีคนแก่คนหนึ่งเล่านิยายปรัมปราให้ชาวบ้านฟัง เพราะชาวยูนนานไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่นิยมฟังนิยายมาก ดังจะเห็นตามร้านขายน้ำชา อาหาร ตามหัวเมืองต่าง ๆ มีการเล่านิยายเสมอ ถ้ามีคนฟังมากเจ้าของร้านจะอนุญาต ให้ผู้เล่าขึ้นไปยืนบนโต๊ะเล่านิยายพร้อมกับทำท่าทางประกอบ

  • การแต่งกาย อากาศในมณฑลยูนนานค่อนข้างหนาวเพราะอยู่ในโซนปานกลาง ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง ด้วยเหตุนี้ชาวฮ่อจึงแต่งกายไม่เรียบร้อย ผู้ชายสวมหมวกกลม ๆ ไม่มีปีก แต่มียอดจุกอยู่ตรงกลางเรียกว่า “ กะน้าก้วย ” เสื้อหลายชั้นชิดต้นคอ ผ่าอกป้ายปิดข้างบ้าง ผ่าอกกลางบ้าง เสื้อยาวใต้เอวเล็กน้อย ถ้าเวลาอยู่บ้านหร้อมีงานมักสวมเสื้อยาวลงมาใต้เอวเล็กน้อย ถ้าเวลาอยู่บ้านหรือมีงานมักสวมเสื้อยาวลงมาใต้เข่าไม่มีจีบ หรือรัดเอวให้สวยงามแต่อย่างใด แขนเสื้อกว้างยาวหุ้มข้อมือ นิยมใช้สำมากกว่าสีขาว ใช้กระดุมผ้า กางเกงขากว้าง หรือบางทีก็ทำอย่างผ้านุ่ง สวมถุงเท้ารองเท้าที่ทำกันขึ้นใช้เอง ผู้หญิงไว้ผมมวย แต่งกายคล้ายชาย แต่ผ่าอกป้ายมาทางไหล่ข้างซ้าย ติดกระดุมผ้าใต้รักแร้ ใช้ผ้าสีขาวสับด้วยแถบชายผ้าใหญ่สีดำ หรือบางทีก็ใช้ชุดดำล้วน ถ้ามีงานพิธีมักใส่กระบังหน้าเล็ก ๆ เหนือหน้าผากอ้อมไปทางหูทั้งสองข้าง คล้ายกับเครื่องแต่งกายของหญิงจีนสมัยโบราณหรือคล้ายกับงิ้ว ในฤดูหนาวใช้ผ้ากรุด้วยขนแกะภายในเสื้อ ฤดูร้อนใช้ผ้าแพรปังลิ้น แพรญวน หญิงใส่ต่างหู กำไลมือ ฯลฯ


มีธรรมเนียมที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ผู้หญิงชาวจีนยูนนานใช้ผ้าเย็บเป็นถุงรัดเท้าให้เล็กตั้งแต่เด็กเพื่อไม่ให้ เท้าโต เวลาเดินไปไหนมาไหนจะช้า และคล้ายกับตุ๊กตาเดิน อันเป็นขนบธรรมเนียมนิยมของชาวจีนยูนนานมาแต่โบราณกาล เล่ากันถึงเหตุที่หญิงต้องรัดเท้านั้นว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าเดินทางไปค้าขายยังเมืองหนึ่งแล้วเกิดพอใจรักใคร่หญิงชาวเมืองนั้น และได้พากันหนีไป ชาวเมืองไล่ติดตามไม่ทันเพราะหญิงชายนั้นเดินทางไปได้รวดเร็ว นับแต่นั้นมาจึงบังคับเด็กหญิงกำลังจะขึ้นวัยสาวของตนทุกคนรัดเท้าไม่ให้ เท้าโต เพื่อให้เดินทางลำบากและช้า เมื่อมีชายพาหนีก็จะติดตามได้ทันท่วงที เพราะการคมนาคมในมณฑลยูนนานไม่สะดวก ต้องเดินด้วยเท้าไปตามไหล่เขา ชาวจีนยูนนานจึงถือเป็นจารีตประเพณีกันสืบมา

  • อาชีพชาวจีนฮ่อมีอาชีพในการค้าขาย และการกสิกรรมการค้าขายนั้นมีม้าลาบรรทุกสินค้านำไปซื้อ ขายแลกเปลี่ยนกันจากตำบลหนึ่งไปยังตำบลหนึ่ง สินค้ามีผ้าไหม หม้อทองแดง ผ้าเจี๋ยน ( ผ้าขนสัตว์ ) พืช ผลไม้ เนย ฯลฯ ทั้งนี้ไม่ค่อยมีการปลูกฝิ่นและค้าฝิ่นในยูนนานตอนกลาง ฝิ่นมีการปลูกและค้ากันในแถบยูนนานตอนใต้และชายแดนติดต่อกับพม่า อินโดจีนเท่านั้น เพราะกฎหมายเมืองจีนห้ามการปลูกค้า สูบ และ มีฝี่นไว้ภายในครองครองอย่างเด็ดขาด ผู้ใดทำการปลูกฝิ่นหรือสูบฝิ่นมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ยังมีการปลูกค้าและสูบกันบนเขาต่าง ๆ ตามชายแดนเพราะทางยูนนานมีพนักงานเจ้าหน้าที่บริหารไม่พอที่จะปราบปราม การปกครองดูแลไม่ทั่วถึงกัน ฝิ่นจึงไหลประดังเข้ามาสู่เขตไทย โดยการนำของพวกพ่อค้าชาวฮ่อซึ่งมีม้าลาและบริวารนับเป็นจำนวนหลายร้อยคน คนเหล่านี้มักมีอาวุธดี ๆ พร้อมจะเดินทางคุมกันเป็นคาราวาน กว้านซื้อฝิ่นนำมาขายชายแดนไทย ซึ่งชายไทใหญ่เจ้าของถิ่นเองก็ไม่กล้าทักท้วง เพราะกำลังอาวุธด้อยกว่าพวกพ่อค้าชาวฮ่อเหล่านี้

เมืองต่าง ๆ ในมณฑลยูนนานตอนกลาง มีการเปลี่ยนเวรกันเข้าตลาด วันนั้นเปิดตลาดที่นี่ วันถัดไป เปิดตลาดที่โน่นบรรดาพวกพ่อค้าต่างนำม้าลาบรรทุกสินค้า หรือใช้คนเอาของบรรทุกหลังเดินทาง เครื่องบรรทุกของไว้บนหลังเขาทำเป็นรูปโค้งอ้อมมาข้างหน้า เพื่อให้บรรจุสินค้าได้มาก เรียกว่า “ เป้ ” เมื่อปลดลงจากหลังและบ่าแล้วก็มีไม่ค้ำไว้ไม่ให้ล้ม ไม้ค้ำนี้เองใช้เป็นไม้เท้า สำหรับยันขึ้นเขาหรือเวลาเดินทาง สินค้ามีประเภทเครื่องนุ่งห่มเสื้อผ้าเครื่องใช้และยังมีพืชไร่ รวมทั้งอาหารอื่น ๆ อีกด้วย

  • วิถีชีวิต การทำไร่ของชาวจีนฮ่อจะทำกันตามเชิงเขาและที่ราบใกล้ห้วยลำธาร โดยปลูกข้าว ( ไรน์ ) ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันฝรั่ง มันเทศ ผักกาดหัว กะหล่ำปลี และถั่วฝักใหญ่ซึ่งเขาเรียกว่า “ ตาเตา ” เมื่อขัาวไม่พอรับประทานก็ใช้มันและพืชเหล่านี้ผสมหุงต้มรับประทาน การทำอาหารใช้กระทะใบใหญ่ใบเดียว ฟืนค่อนข้างหายาก ใช้มูลวัวควายปน ใบหญ้าใบสนแทน บางบ้านใช้ถ่านหินซึ่งมีพวกชาวบ้านขุดขายน้ำหายาก ต้องเดินทางไปตักที่บ่อตามที่ราบต่ำใกล้ห้วยลำธารบ่อน้ำจะก่อฐาน และด้านล่างกว้างตอนบนแคบ ชาวบ้านจะไม่อาบน้ำทุกวัน คือ 2-3 วันจะอาบน้ำครั้งหนึ่ง แต่ทุกวันมีการเช็ดตัว โดยมีกะละมังละผ้าขนหนูวางไว้ให้
  • อาหารและยา อาหารของชาวจีนฮ่อโดยมากเป็นเนื้อวัวแห้ง เพราะราคาเนื้อวัวถูกกว่าหมู ใช้น้ำมันพืชผัดกับผักกะหล่ำปลี หัวบีท หัวผักกาด ฯลฯ ราคาเนื้อสดในตลาดเมืองคุนหมิงระหว่างต้นปี พ . ศ .2486 มีดังนี้ หมูน้ำหนัก 1 ชั่ง (0.60 กิโลกรัม หรือ 600 กรัม ) ราคา 1,500 เหรียญจีน เนื้อวัว 1,000 เหรียญจีน เนื้อแพะ 800 เหรียญจีน (1 เหรียญจีนเท่ากับเงินไทย 4 สตางค์ ) กับข้าวมีการต้ม ผัด ดอง ของดองชนิดหนึ่งเรียก “ เยนไฉ่ ” มีขิงดอง หัวผักกาดดอง ฯลฯ น้ำพรกดองเรียก “ เจี๋ยง ” ชาวฮ่อไม่ใช้กะปิน้ำปลาแต่ใช้น้ำซีอิ๊วซึ่งทำมาจากถั่วเหลือง เรียกว่า “ เจี๋ยงยิ้ว ” บางทีทำกับข้าวเป็นผักล้วน ๆ ไม่มีเนื้อเลยเรียกว่า “ กินเจ ” ใช้ผัด้วยน้ำมันพืชบ้าง ดองบ้าง การรับประทานใช้ตะเกียบ มีน้ำชา ถ้วยสุรา ขนาดจิ๋วอย่างจีน
  • ของเสพย์ติด มียาเหลือง หรือเรียกว่า “ หวางเยน ” เป็นยาสูบสีเหลืองนิ่ม เป็นฝอยอย่างหมูหยอง กลิ่นหอมชวนสูบ ใช้บ้องยาอยางบ้องกัญชา เรียกว่า “ เยนทุ่ง ” พวกฮ่อที่อยู่แถบสิบสองปันนา โดยมากติดฝิ่น ถ้าเมืองไหนเจ้าเมืองและพนักงานกวดขัน ก็จะลักลอบสูบกัน ถ้าจับได้ตามกฎหมายของเขาโทษถึงถูกยิงเป้า แต่บางเมืองปล่อยกนอย่างเสรี โดยเจ้าเมืองทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาเอาตาไปไร่เสีย ยิ่งหากเฃป็นหัวเมืองชายแดนติดต่อกับเขตพม่า อินโดจีนแล้ว โดยมากเจ้านายเป็นผู้ทำการค้าฝิ่นเสียเอง ด้วยเหตุนี้บรรดาเจ้าเมืองฮ่อจึงร่ำรวยกันแทบทุกคน
  • ภาษา ภาษา ฮ่อที่ใช้พูดและเขียนทุกวันนี้เป็นภาษาจีนกลางซึ่งทางรัฐบาลจึงประกาศให้ใช้ ทั่วประเทศ มีผิดเพี้ยนไปบ้างเป็นบางคำบางประโยค เช่น มีด - เตา ปืน - เซียง ข้าว - ฝาน รองเท้า - ไหจื้อ ฬา - พอจื้อ ไม้ขีดไฟ - โห้ฉาย น้ำชา - ช่า หมู - จู

ชื่อผู้ชายนำหน้านามด้วย คำว่า เลา หมายถึง นายหรือคุณ เช่น ชื่อเลาว่อง เลาเออ เลาซาน เลาลิ เลามา เลาฟู่ ฯลฯ ผู้หญิงชื่อ ลิ่ง ซาง รียัง ฯลฯ ประโยค เช่น สบายดีหรือนี้ลื้อเฮ้าใจ๋ , ไปที่ไหน - นี่เขอนาเตี้ย , อยู่ไหน - นาเตี้ยใจ๋ , ทำงานอะไร - นี่เจิ้งน้าหยัง , มีธุระอะไร - เจิ้งนาหยังซื๋ซิ่น , ชื่ออะไร , นาหยังมิ๋นจื้อ , รับประทานอาหารหรือยัง - ซึฝานปู่ยิว , มีภรรยาแล้วหรือ , ยิ่วเล่า - โพ่ลิปะยิว ฯลฯ

มีบทเพลงไพเราะอยู่บทหนึ่งที่ชาวฮ่อในเมืองคุนหมิงชอบร้อง มีเนื้อเพลงดังนี้

ไท้เยี้ยงฉ่า ซิวเม้งจิวยี่ ยิวผ่า สางไล้ ฟ้าเออแส่ว แลวเม้ง เนียนให่ชื่อยี่ ย๋างเตอคาย เม่ลี้ แซ่วแนวเฟยชี้วู้ยุ่งจง ว่อเตเซงซุน แซ้วแนวอย่างปู่หุยไล้ ว่อเตเซงซุนแซ้ว แนวปู่หุยไล้ว เปียดเตอนา โยโย่ - เปียดเตอนา โย โย โย ว่อเต เซงซุน แซ้ว - แนวปู่หุยไล้

แปลว่า พระอาทิตย์ฉายแสงตามเวลาขงมัน แต่ใจของมนุษย์เรานี้มิเหมือนพระอาทิตย์คือเร็วยิ่งกว่า เปรียบเหมือนนกน้อยตกอยู่ในอุ้งมือเรา เมื่อบินหลุดลอยไปแล้วก็ไม่มีวันจะกลับคืนมา เปรียบวัยของเรา นับวันที่จะล่วงเลยไปทุกเวลา

ชาวจีนฮ่อมีสุภาษิตโบราณ ไว้สั่งสอนบุตรหลานอยู่หลายบท มีคำกล่าวถึงความเศร้าโศกบทหนึ่งว่า “ เมื่ออยู่ในวัยเด็กเป็นกำพร้าบิดามารดา 1 ในวัยกลางคนมีครอบครัวบุตรธิดาแล้วแต่ภรรยาแม่เรือนตายจากไป 1 และเมื่อแก่เฒ่าชราภาพแล้ว หากบุตรผู้สืบแซ่วงศ์สกุลตายจากไป 1 ทั้งสามประการนี้ เป็นความวิปโยคอย่างแทบจะตายตามกันได้ ”

บริเวณใต้เมืองคุนหมิงมี คนไทยเผ่าหนึ่ง ซึ่งเรียกตนเองว่า ไตหย่า ไตชาย ฯลฯ ชาวไทยเผ่านี้ มีขนบธรรมเนียมคล้ายคลึงกับชาวจีน มักมารับจ้างทำงานกับชาวจีนฮ่อเสมอ ชาวจีนฮ่อเรียกคนเผ่านี้ว่า “ หานเป่อี ” คือ ผู้ซึ่งมีขนบธรรมเนียมครึ่งไทยครึ่งฮ่อ

ลักษณะทั่วไป ชาว ฮ่อเป็นคนซื้อสัตย์ ชอบใช้หัวคิดสุขุม รักพวกพ้อง ขยันในการงาน พูดน้อย เคร่งครัดต่อจารีตประเพณี การขโมยคดโกงกันไม่ค่อยมี ชีวิตความเป็นอยู่ภายในครอบครัวนั้นหญิงผู้เป็นภรรยาต้องเคารพสามีเหมือน เป็นนายของตน ต้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ต้มน้าร้อนเตรียมไว้ให้สามีล้างหน้า ไปเก็บผักพืชตามไร่สวนมาทำอาหาร ต้มน้ำชาเตรียมไว้ให้สามีล้างหน้า ไปเก็บผักพืชตามไร่สวนมาทำอาหาร ต้มน้ำชาเตรียมไว้ให้สามีไปติดต่อธุระการงานนอกบ้าน ตอนสายภายหลังรับประทานอาหารเช้าแล้วหญิงเอาผ้าไปซัก ฯลฯ ชายเลิกร้างหญิงได้ แต่หญิงเลิกร้างกับชายไม่ได้ ไม่ใช่เมื่อไม่พอใจสามีแล้วหอบข้าวของหนีไปอยู่บ้านตน ถ้ากระทำเช่นนั้นจะถูกบิดามารดาของตนไล่กลับมา ไม่ยอมให้เข้าบ้าน สามีตามไปพบมีสทธิ์ทุบตีได้ ระหว่างอยู่ด้วยกันนี้ จะไปเยี่ยมบิดามารดาหรือญาติสามีเสียก่อน ของตนต้องขออนุญาตถ้าไม่ให้ไปแล้วก็ไปเยี่ยมไม่ได้ เมื่อสามีสิ้นชีวิตแล้ว ภรรยาต้องอยู่รับใช้บิดามารดาของสามีตลอดชีวิต ถ้ามีผู้มาชอบพอรักใคร่ต้องสู่ขอกับบิดามารดาของสามี ถ้าอนุญาตก็แต่งงานใหม่อีกได้ ถือกันว่าผู้หญิงเป็นทาสที่ซื้อเอามาเป็นภรรยา และรับใช้บิดามารดา ทั้งนี้หญิงที่เคยมีสามีแล้วจะแต่งงานกับผู้ชายฮ่อที่อยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่ได้

บิดามารดาชาวจีนฮ่อมักหมั้นเด็กของเขาไว้แต่เล็ก บางทีคู่หมั้นอยู่ต่างเมืองไม่เคยเห็นหน้าตากันเลย บางทีเป็นคนเมืองเดียวกัน ชาวฮ่อไม่มีสิทธิ์เสรีในการเลือกคู่ครองสุดแล้วแต่บิดามารดาจะเห็นควร ที่หมั้นเมื่อโตเป็นหนุ่มสาวแล้วก็มี โดยมีแม่เสื่อคอยทำการติดต่อชักนำ และเจรจาตกลงสู่ขอการแต่งงานมีขนบประเพณีแบบจีน คือแต่งที่บ้านเจ้าสาวเลี้ยงน้ำร้อน น้ำชา สุรา อาหารแก่แขก เจ้าบ่าวไปรับเอาเจ้าสาวไปอยู่บ้านตน เอาเจ้าสาวนั่งในเกี้ยวมีคนหาม ตลอดทางยิงปืนขึ้นบนท้องฟ้า ถ้าใครยิงปืนมาก ถือว่าเป็นผู้มีเงินมีเกียรติพอถึงบ้านพ่อผัวแม่ผัว เจ้าสาวเข้าไปกราบไหว้กล่าวฝากเนื้อฝากตัว ขอให้เอ็นดู คิดเสมอเป็นธิดาในไส้ของตน ถ้ามีลูกแล้วบรรดาญาติพี่น้องจะทำพิธีผูกมือและนำเงินมาให้เป็นของขวัญ

บ้านทุกหลังของชาวจีนฮ่อเขาทำแท่นบูชาไว้ภายในบ้านมีธูปเทียน ดอกไม้ กระดาษเงินกระดาษทอง ชาวฮ่อนับถือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษเป็นพระเจ้า ( เว้นแต่พวกนับถืออิสลาม ) ภายในเมืองแต่ละเมืองมักมีต้นไม่ใหญ่ ซึ่งทำเป็นศาลเจ้าไว้ นาน ๆ จะมีผู้นำเอาเครื่องเซ่น หัวหมู เป็ด ไก่ ทาสีแดง และผลไม้ กระดาษเงินกระดาษทอง รวมทั้งธูปเทียนไปบูชา ถือว่าเป็นที่สิงสถิตของเจ้าประจำเมือง สามารถบันดาลสิ่งต่าง ๆ ได้ตามความปรารถนา โดยมากผู้ที่ไปทำการเซ่นไหว้นั้นมักมีเหตุการณ์บังเกิดขึ้นภายในครอบครัว เช่น มีผู้เจ็บป่วยหรือประสบเคราะห์กรรม มีความทุกข์ทรมานใจอย่างใดอย่างหนึ่ง การเจ็บป่วยเขาใช้รักษากับแบบแผนโบราณคือใช้สมุนไพรอย่างจีน นอกจากนี้ ยังใช้วิธีขูดลากเหรียญบนผิวหนังโดยแรงจนเป็นผื่นแดง เรียกว่า “ กว่าซา “ ซึ่งผู้ถูกขูดมักจะร้องหรือครางในขณะรักษา ( ดูประกอบที่ กวางชา )

พิธีกรรม ชาวฮ่อมีงานปีใหม่อย่างเดียวกันกับจีน มีการจุดประทัด นำถาดหัวหมู ขาหมู เป็ด ไก่ ซึ่งทาสีแดง ขนมปาปา ( ขนมชนิดหนึ่ง ) ผลไม้ ธูปเทียน ผลไม้มีสีส้มจีนซึ่งเรียกว่า “ ฮ่วงโก้ ” ลูกเชอรี่ที่เรียกว่า “ ลี่ซื่อ ” นำไปเซ่นเจ้างานปีใหม่มี 3 วัน ทุกคนต่างหยุดงาน และต่างกายสวยงามเลี้ยงสุราอาหาร ให้ของขวัญแก่กัน มีการไหว้บิดามาราดาหรือสามีภรรยาที่ล่วงลับไปแล้ว ที่สุสานมีการเล่นการพนันทุกประเภทซึ่งทางเจ้าเมืองเปิดให้มีการประมูลและ เล่นกันอย่างเปิดเผย

เมื่อมีคนตายภายในบ้าน เขาจัดงานศพ 1 คืน หรือ 2 วัน มีการพนันเลี้ยงสุราอาหารแก่ผู้เฒ่าชาวบ้าน ไม่มีสวดมนต์ ญาติพี่น้องหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะนุ่งผ้าขาวห่มขาว เอาศพบรรจุโลง ร้องไห้เดินตามศพไม่มีการแห่ เมื่อนำไปฝังเสร็จแล้วต้องไว้ทุกข์ถึงผู้ตายเป็นเวลาหลายวัน

การเดินทางไปเมืองคุนหมิ งจากจังหวัดเชียงรายสมัย พ . ศ .2493 ไปได้ 2 ทาง คือทางรถยนต์กับทางเดินเท้า ทางรถยนต์ออกจากอำเภอแม่สายเข้าเขตรัฐฉานของพม่า ผ่านเชียงตุง น้ำคงปางหลวง น้ำคำ ลาเสี้ยว รุ่งริ่ง เปาซาน ยงผิง เสียวกวาน ซูฉง คุนหมิง โดยใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์นี้ราว 9 วัน

ส่วนการเดินทางด้วยเท้าหรือม้า เริ่มจากเชียงตุงไปเมืองมะ เชียงรอ เมืองปาน เมืองฮุน เมืองไฮ เชียงรุ่ง ฟูเออ ซือเหมา ห่วยซี จากห่วยซีไปคุนหมิงมีรถยนต์ ทางที่เดินเป็นภูเขาทั้งนั้น และใช้เวลาเดินทางนานกว่าถนนสายพม่า - จีน ซึ่งมีรถยนต์ติดต่อไปมาได้โดยสะดวกตลอดฤดูแล้ง

  • ในเชียงใหม่ ฮ่อกลุ่มแรกที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าขายสินค้าจำพวกสมุนไพร ของป่า ส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองแม่ซาซุน เมืองต๋าไปยี มณฑลยูนนานเข้ามาไทยทางแม่สายมาเชียงใหม่ทางดอยนางแก้ว ดอยสะเก็ด ตั้งค่ายพักครั้งแรกที่ตลาดสันทรายน้อย อีกพวกตั้งค่ายพักที่ท่ากระดาษ ตำบลฟ้าฮ่าม พวกของท่านเจิ๋งชงหลิ่งมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านฮ่อ เมื่อประมาณ พ . ศ .2458 เจิ๋งชงหลิ่งได้มีส่วนช่วยขนส่งลำเลียงอุปกรณ์ก่อสร้างจากเชียงใหม่ไปถ้ำขุน ตาลด้วยขบวนม้า - ล่อ จนสามารถสร้างเส้นทางรถไฟสายเหนือแล้วเสร็จ และท่านยังได้บริจาคที่ดินประมาณ 100 ไร่ แก่การรถไฟ และการสร้างสนามบินในเชียงใหม่ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 7 ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เจิ๋งชงหลิ่งเป็น “ ขุนชวงเลียง ” พระราชทานนามสกุลว่า “ วงศ์ลือเกียรติ ” ทำให้ผู้นำฮ่อที่ชื่อเจิ๋งชงหลิ่งรู้จักกันในนาม “ ท่านขุนชวงเลียง ลือเกียรติ ” แต่นั้นมา และใน พ . ศ .2458 ได้เริ่มสร้างมัสยิดอิสลามบ้านฮ่อหลังแรกขึ้นเป็นศูนย์กลางของฮ่อในเวียง เชียงใหม่ ที่บ้าน จะต้องมีการอยู่ไฟ โดยลูกคนแรก แม่จะอยู่ไฟเป็นเวลา 5 วัน และลูกคนตอมาจะอยู่ไฟเพียงสามวัน ซึ่งก็ต้องมีการผูกเฉลวลงอาคมกำกับไว้ด้วย การอยู่ไฟนี้อาจอยู่ไฟในท่านั่งหรือท่ายืนก็ได้ ในท่ายืนอยู่ไฟนั้นจะมีการเผาหินให้ร้อนแล้วให้แม่ลูกอ่อนถอดเสื้อผ้าออกหมด ใช้ผ้าห่มคลุมตัวและปกศีรษะแล้วยืนคร่อมหิน และตักน้ำต้มสมุนไพรรดก้อนหิน ให้ไอร้อนและไอสมุนไพรรมไปทั่วร่าง เมื่ออยู่ไฟครบกำหนดแล้วก็จะพักอยู่ในห้องเตาไฟนั้นนานถึงหนึ่งเดือน ส่วนการอยู่ไฟในท่านั่งนั้น แม่ลูกอ่อนจะถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้ว คลุมด้วยผ้าห่มตั้งแต่คอถึงปลายเท้าและยังต้องปกศีรษะไว้ด้วย นั่งยอง ๆ อยู่บนขอนไม้ที่สูงกว่าหินเผาไฟนั้นเล็กน้อย จากนั้นเทน้ำต้มสมุนไพรลงที่ก้อนหินให้ไอน้ำรมแม่ลูกอ่อนจนทั่วถึง สำหรับรกของเด็กนั้นจะฝังไว้ใต้ถุนบ้านตรงที่เด็กเกิด เมื่ออยู่ไฟเสร็จ ญาติของแม่ลูกอ่อนก็จะห่อฝักส้มป่อยสามท่อน และขมิ้นสามท่อนเป็นของฝากเพื่อขอบคุณผู้ที่มาเป็นเพื่อนแม่ลูกอ่อน ส่วนเด็กนั้นเมื่อแข็งแรงพอแล้วก็จะนำไปเลี้ยงในเปลไม้ไผ่สาน ซึ่งหากมีลูกต่อมาอีกก็จะใช้เปลอันเดียวกันนี้เท่านั้น
  • ด้านพิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพนั้น ชาวละว้าถือว่าเป็นพิธีที่สนุกที่สุด การจัดงานศพจะจัดตามความสะดวกของเจ้าภาพ เช่น หากเจ้าภาพมีฐานะดีก็อาจฆ่าวัวหรือควายเลี้ยงดูแขกในพิธีศพ แต่คนที่ฐานะไม่ดีก็จะใช้หมูแทน เพียงแต่ไม่อาจเล่น “ ซวงละมาง ” และ “ มฮลอก ” โโดยที่การเล่น “ ซวงละมาง ” นั้นละม้ายกับการเล่นลาวกระทบไม้ และการเล่น “ มฮลอก ” เป็นการเล่นขับเพลงไปพร้อมกับการชี้ไปที่ภาพใบไม้ เวลามีแขกมาที่งานศพก็จะเปิดผ้าคลุมหน้าศพออก และผู้หญิงก็จะพากันร้องไห้ทุกครั้งที่เปิดผ้าคลุมหน้าศพออก กลางคืนมีการขับเพลง เมื่อแขกกลับเจ้าภาพจะห่อเนื้อมอบให้แขกเป็นที่ระลึก จากนั้น “ ปูลาม ” หรือผู้นำทางพิธีกรรมและญาติกับพวกผู้ชายก็จะนำหมูและไก่ ไปฆ่าทำอาหารที่เตาไฟบนศาลาผีประจำหมู่บ้าน มีการจัดทำเสาฝังเบี้ยประดับด้วยเขาควาย หรือคางหมูที่ฆ่าในพิธีมาประดับโลงศพทำด้วยท่อนไม้ผ้าครึ่ง และขุดเอาเนื้อไม้ออกเพื่อใส่ศพแล้ทำฝาประกบ “ ปูลาม ” กับลูกหาบจะไปส่งเสาและโลงที่ป่าช้า แล้วฝังศพพร้อมกับอาวุธและเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้ โดยปูลามจะเลือกที่ฝังศพ ทั้งนี้คนอื่น ๆ จะไม่ตามไปถึงป่าช้า