ชาติพันธุ์ล้านนา - ไทดำ

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
03/10/2008
ที่มา: 
เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ "ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน"

ไทดำ


ไทดำ
หรือ ผู้ไทดำ เป็น กลุ่มไทกลุ่มหนึ่งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไท บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดงในเวียดนามภาคเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของ ไทดำ ไทแดง และไทขาว เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม ได้เรียกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำ ที่ เรียกว่าไทดำ เพราะชนดังกล่าวนิยมสวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งย้อมด้วยต้นหอมหรือคราม แตกต่างกับชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ไทขาวที่นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีขาวและไทแดงที่ชอบใช้ผ้าสีแดงขลิบแดงตกแต่งชาย เสื้อ

ใน สปป.ลาว ไทดำได้อพยพเข้าสู่หลวงน้ำทาในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เพราะเกิดศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่าง ๆ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในหลวงน้ำทาที่บ้านปุ่ง บ้านทุ่งดี บ้านน้ำเงิน และบ้านทุ่งใจใต้ ต่อมาเกิดความไม่สงบในสิบสองจุไทขึ้นอีก เนื่องจากศึกฮ่อซึ่งเป็นพวกกบฏใต้เผงที่ถูกทางการจีนปราบปรามแตกหนีเข้ามา ปล้นสะดมและก่อกวนอยู่ในเขตสิบสองจุไททำให้ชนเผ่าถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปุ่ง บ้านนาลือ และบ้านใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงได้กระจายกันออกไปตั้งหมู่บ้านอยู่ทั่วเขตทุ่งราบหลวงน้ำทา ได้แก่ บ้านทุ่งใจเหนือ ทุ่งใจใต้ ป่าปวก ทุ่งดีเก่า ทุ่งดีใหม่ นาน้อย บ้านแป บ้านใหม่ บ้านปุ่ง ป่าสัก ดอนแล นาลือ น้ำแง้น ทุ่งอ้ม หัวขัวและทุ่งก๋าง ในช่วงเกิดสงครามเดียนเบียนฟูระหว่าง ปี พ.ศ. 2596 -2497 ไทดำส่วนหนึ่งได้อพยพหลบหนีการเกณฑ์ทหารของฝรั่งเศสจากเดียนเบียนฟูเข้ามา อยู่บ้านน้ำแม้นเมืองกลวงน้ำทาและบ้านหนองบัวคำ ในเขตเมืองสิง นอกจากนี้มีบางส่วนตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ และแขวงอื่น ๆ ในเขตภาคเหนือของ สปป.ลาว

ในประเทศไทย คนไทยเรียกเรียกไทยดำว่า ลาวโซ่ง คำ ว่าโซ่งคงจะมาจากคำว่า ซ่วง หรือ ซ่ง ซึ่งเป็นภาษาไทดำ หมายถึงกางเกง ไทดำได้ถูกอพยพเข้าสู่ดินแดนของประเทศไทย ตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2322 เมื่อกองทัพไทยไปตีเวียงจันทร์ แล้วกวาดต้อนไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี ต่อมาได้กวาดต้อนเข้ามาเพิ่มเติมอีก ในสมัยรัชการที่ 1 ใน พ.ศ. 2335 และสมัยรัชการที่ 3 ใน พ.ศ. 2381 ซึ่งตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันเรียกคนเหล่านี้ว่าไทโซ่ง

ไทดำมีลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น ภาษาพูดและภาษาเขียน อาชีพ การแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรมและความเชื่อดั้งเดิมอยู่เป็นอันมาก ลักษณะทางสังคมของไทดำยังคงรักษาขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและพิธีกรรมไว้ อย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในความเป็นปึกแผ่นและการดำรงเอกลักษณ์ของกลุ่ม ชาติพันธุ์

ฮีตคลองประเพณี
ประเพณีการเกิด

นับตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงวันคลอด ผู้เป็นแม่คงทำงานตามปกติ ไม่มีการพักผ่อน โดยเชื่อว่าการออกใช้แรงงานนั้นจะทำให้คลอดลูกง่าย เมื่อมีอาการเจ็บท้องก่อนคลอด จะทำพิธีเซ่นผีเรือนเรียกว่า “ วานขวัญผีเรือน ” การประกอบพิธีกรรมให้หมอขวัญเป็นผู้ทำพิธีฆ่าไก่ 1 ตัว เซ่นให้ผีญาติพี่น้องที่ตายทั้งกลมหรือตายในขณะคลอดลูกกินก่อน เพื่อไม่ให้มารังควานรบกวนในขณะที่คลอด เมื่อเด็กคลอดพ้นจากครรภ์มารดาแล้วก็จะตัดสายรกซึ่งเรียกว่าสายแห่ ยาวประมาณ 2 ข้อมือ อาบน้ำเด็กน้อยด้วยน้ำอุ่น แล้วนำไปวางไว้ในกระด้งรอจนกระทั่งสายรกหลุดออกมา เมื่อสายรกหลุดพ้นออกจากครรภ์แล้วนำไปล้างบรรจุใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ แล้วนำไปแขวนทีคบไม้ใหญ่ในป่าบั้งแห่ซึ่งเป็นป่าสำหรับทิ้งรกเด็กแรกเกิด โดยแขวนสูงจากพื้นดินระดับเสมอศีรษะคนเดินผ่าน ส่วนแม่ก็ให้ล้างชำระทำความสะอาดร่างกายเล็กน้อยแล้วนั่งอยู่ไฟเรียกว่า “ อยู่กำเดือน ” เมื่อถึงเตาไฟให้หันหน้าเข้าหาเตาไฟเอามือควักเขม่าควันไฟมากิน หลังจากนั้นดื่มน้ำร้อน อยู่ไฟและอาบน้ำร้อนที่ต้มผสมใบไม้ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านจนครบเดือน

การอยู่กำ หรือ อยู่ไฟ ภายหลังคลอดเริ่มอยู่ไฟตั้งแต่วันแรกเป็นเวลา 30 วัน ในระยะแรกการอยู่ไฟจะนั่งอยู่ที่เตาไฟตลอดเวลา 3 วัน เรียกว่า “ อยู่กำไฟ ” แม่กำเดือน หรือ หญิงที่อยู่ไฟจะต้องระมัดระวังเรื่องอาหาร รับประทานได้แต่ข้าวเหนียวนึ่งกับเกลือคั่วหรือเกลือเผาจนครบ 3 วัน จึงจะ “ ออกกำไฟ ” ในระยะนี้จะมีญาติพี่น้องและผู้ใกล้ชิดมาเยี่ยมเยือนและอยู่เป็นเพื่อตลอด เวลา เมื่อออกกำไฟแล้ว ให้ไปสระผมที่ท่าน้ำแต่จะไม่อาบน้ำใช้ผ้ารัดเอวไว้ผืนหนึ่งพร้อมกับคาด “ ผ้าฮ้ายฝั้นใต้ไฟ ” (ชุดติดไฟ) ทับไว้อยู่ข้างนอกเพื่อให้เกิดความอบอุ่นแก่ร่างกาย เมื่อกลับมาถึงเรือนแล้งทำพิธีเซ่นผีย่าไฟโดยใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง ไปวางไว้ตรงที่ทารกคลอด ทำพิธีสู่ขวัญให้แก่เด็กน้อย สู่ขวัญนมและสู่ขวัญที่นอน เพื่อขอให้ช่วยดูแลรักษาและเลี้ยงดูเด็กน้อยที่เกิดใหม่ ส่วนแม่ใช้ไก่ต้ม ข้าวต้มขนม จัดใส่สำรับทำพิธีสู่ขวัญ หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลากลางคืนก็ให้แม่และเด็กน้อยย้ายไปนอนบริเวณที่นอน ตามปกติ แต่ผู้เป็นแม่จะต้องอยู่ไฟต่อไปจนกระทั่งครบ 30 วัน จึงออกจาก “ อยู่กำเดือน ”

อาหารการกินเวลาอยู่ไฟจะไม่รับประทาน เนื้อสัตว์ทั่วไป มีแต่ผักและปลาบางชนิด เช่น ปลาคิง ปลาแก้ม โดยนำมาปิ้ง เมื่อครบ 20 วัน ฆ่าเป็ด 1 ตัว ทำพิธีเซ่นผีเต่ท่า จากนั้นจึงเริ่มรับประทานเนื้อสัตว์ได้โดยเริ่มจากเป็ดก่อน ต่อมาเป็นไก่ หมู ปลาย่าง ปลาไหลย่าง ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย จนกว่าจะออกจากกำเดือน โดยเฉพาะเนื้อควายเผือกห้ามรับประทานเด็ดขาด เพราะจะทำให้มีอาการแสลง อาจถึงตายได้
การเลี้ยงดูทารก แม่จะเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยนมแม่เป็นหลัก ต่อมาจึงให้อาหารเสริม จนกระทั่วเด็กเดินได้หรือเริ่มตั้งครรภ์ใหม่ จึงหย่านม

ประเพณีวัยหนุ่ม

การศึกษาอบรม พ่อจะสอน ลูกชายให้รู้จักการทำไร่ ไถนา จักสาน เช่น สานกะเหล็บ กระบุง ข้อง ไซและภาชนะต่าง ๆ ส่วนแม่จะสอนลูกสาวให้รู้จักเวียกเหย้าการเรือน ปั่นฝ้าย เลี้ยงไหม สาวไหม ทอผ้า และการประดิษฐ์ลวดลายต่าง ๆ บนผืนผ้า

การเลือกคู่ครอง เมื่อ อายุย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ผู้สาวจะชวนเพื่อน ๆ ไปลงข่วงปั่นฝ้ายเป็นกลุ่ม ๆ ในยามค่ำคืนของฤดูหนาว ส่วนผู้บ่าวก็จะชวนกันไปเกี้ยวสาวปั่นฝ้าย โดยเป่าปี่แล้วขับไทดำวนเวียนไปมาตามข่วงโน้นบ้างข่วงนี้บ้าง มีการขับโต้ตอบกันไปมาระหว่างหนุ่มสาวจนดึกดื่นจึงกลับขึ้นเรือน โดยมีผู้บ่าวที่ชอบพอกันติดตามไปส่ง กระทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำจนเกิดความรักซึ่งกันและกัน ฝ่ายชายจะเล่าให้พ่อแม่ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่ตนไปรักมักผู้สาวแล้วอยากได้ เป็นภรรยา หลังจากนั้นพ่อแม่ก็จะไปหารือบรรดาลุง ป้า น้า อา ที่นับถือ แล้วแต่ “ พ่อใช้ ” ไปถามผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง 2 – 3 ครั้ง โดยปกติการไปถามครั้งแรกหรือครั้งที่สองพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะยังไม่ตอบตกลงหรือ อาจบอกปัดก็ได้ ดังนั้นจึงไปถามอีกเป็นครั้งที่สามเรียกว่า ถามขาด เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงตอบรับก็เป็นอันว่าตกลงให้แต่งงานกันได้หลังจากนั้นจะเตรียมพิธีกินดองน้อย

กินดองน้อย เป็นพิธีสู่ขอเรียกว่าไป ส่อง ฝ่าย ชายจะจัดเตรียมพาข้าวหรือขันหมากสู่ขอ โดยฆ่าไก่ 4 ตัว แยกเป็น 4 ห่อ สิ่งของประกอบพิธีสู่ขอจะทำเป็นห่ออย่างละ 4 ห่อ ได้แก่ ปลาปิ้ง 4 ห่อ หนังหาด 4 ห่อ (เปลือกไม้ใช้เคี้ยวกับหมาก) พลู 4 ห่อ เหล้า 4 ขวด จัดใส่สำรับมอบให้เฒ่าแก่ญาติฝ่ายเจ้าสาว แล้วมอบตัวเป็น เขยกว้าน ใน วันนั้น เพื่อเตรียมพิธีกินดอกใหญ่ (แต่งงาน) ต่อไป เขยกว๊านจะอาศัยอยู่ที่บ้านเจ้าสาวเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่พิธีกินดอง โดยใช้เวลา 2 เดือน ถึง 1 ปี บางรายอาจใช้เวลา 3 – 4 ปี และยังไม่มีสิทธิ์อยู่กินกันฉันสามีภรรยา เพราะผิดผีเรือน หลังจากพิธีส่อง ฝ่ายหญิงยังมีสิทธิ์เสรีในการพูดคุยกับผู้บ่าวคนอื่นที่มาเกี้ยวพาราสี โดยไม่ว่าที่สามีจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและไม่โกรธ ทั้งนี้เพื่อทดสอบว่าความอดทน อดกลั้นในอารมณ์

พิธีแต่งดองหรือกินดองใหญ่ เป็น พิธีแต่งงานของไทดำ มีกำหนด 3 วัน บางครั้งจะจัดพิธีพร้อมกับการ “ เสนเรือน ” วันแรกฝ่ายชายจะทำพิธีเซ่นผีเรือนที่บ้านเจ้าสาว โดยฆ่าหมู 1 ตัว ไก่ 8 ตัว ปลาปิ้ง 8 ห่อ หาด 8 ห่อ พลู 8 ห่อ เหล้าไห 2 ไห พร้อมกับเงินสินเลี้ยงหรือค่าน้ำนม 5 หมัน 2 บี้ ฆ่าควาย 1 ตัว เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน วันที่สองสะใภ้ใหม่จะไปหยามเรือนพ่อปู่แม่ย่า คือไปเยี่ยมพ่อแม่ของสามีตั้งแต่เช้าเพื่อแสดงความเคารพ สะใภ้จะต้องมีของไปฝาก เช่น ผ้าเปียว (ผ้าคลุมศีรษะของสตรีเผ่าไทดำ) ผ้าปูที่นอน ซิ่นไหม เสื้อ ถุงย่าม ที่ทำจากฝีมือของตนเอง ส่วนพ่อปู่แม่ย่าจะให้เงินรับไหว้จำนวน 5 – 10 หมัน หรือให้สิ่งของตอบแทนตามสมควรแก่ฐานะ หลังจากนั้นก็จะไปนบไหว้ญาติผู้ใหญ่ของสามีจนกระทั่งถึงตอนบ่ายจึงเดิน ทางกลับไปรับประทานอาหารเรียกว่า กินงายหัว ส่วนวันที่ สามของพิธีแต่งดองเป็นวันสรุปเพื่อเก็บของที่ยืมมาจัดงานส่ง ทำอาหารเลี้ยงผู้ที่อยู่ช่วยงาน ส่วนมากจะเป็นญาติพี่น้องเพื่อนสนิทและเพื่อนบ้านใกล้เคียง

ธรรมเนียมดั้งเดิมของไทดำผู้เป็นเขยจะ ต้องอยู่ที่บ้านของพ่อตาแม่ยายมีกำหนดนานถึง 12 ปี จึงจะมีสิทธิ์กลับคืนไปอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายสามีหรือปลูกเรือนใหญ่อยู่ใกล้ ๆ กับพ่อแม่และญาติฝ่ายสามี ต่อมาลดลงเหลือ 8 ปี ปัจจุบันลดลงเหลือ 4 ปี เมื่อลงเรือนจะต้องเสียค่าแต่งดองกลับคืนปีละ 5 หมันและค่าน้ำนม 5 หมัน 2 บี้ หมูอีก 1 ตัว เช่น อยู่กับพ่อตาแม่ยายได้ 2 ปี จะพาภรรยากลับไปอยู่เรือนพ่อแม่ของตน หรือสร้างบ้านใหม่จะต้องเสียค่าน้ำนมอีก 5 หมัน 2 บี้ ฆ่าหมูบอกกล่าวผีเรือน 1 ตัว โดยปกติเมื่อแยกลงตั้งครอบครัวใหม่พ่อตาแม่ยายจะแบ่งทรัพย์สินให้ ได้แก่ แม่ควาย 1 ตัว แม่หมู 1 ตัว แม่ไก่ 1 ตัว ฟักลูกเป็นให้ 1 ชุด พร้อมกับมอบของใช้ในครัวให้อีกจำนวนหนึ่ง เช่น หม้อ ชาม ถ้วย ช้อน เครื่องนอน เพื่อให้ไปตั้งครอบครัว แต่ถ้ามีฐานะยากจนก็อาจมีให้เล็กน้อย ส่วนพ่อแม่ฝ่ายสามีจะแบ่งมรดกให้ตามฐานะ เช่น แบ่งที่นาให้ทำกิน ควาย 1 ตัว ส่วนลูกชายที่อยู่เลี้ยงพ่อแม่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกมากกว่าพี่น้องคนอื่น กล่าวคือ นอกจากได้ส่วนแบ่งเท่ากับลูกชายคนอื่น ๆ แล้วยังมีสิทธิ์ได้ครอบครองในส่วนแบ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อแม่

มานทาง หญิงใดที่ท้องนอกสมรสเรียกว่า มานทาง จะถูกสังคมลงโทษ โดยถูกอำนาจการปกครองของหมู่บ้านปรับไหมทั้งชายและหญิงเป็นเงิน 1 หมัน 5 บี้ เรียกว่า เงินล้างน้ำล้างท่า แล้ว ให้อยู่กินเป็นสามี – ภรรยากัน ถ้าหากฝ่ายชายไม่ยอมรับเป็นภรรยาจะต้องเสียค่าปรับไหมให้แก่ฝ่ายหญิงเป็น เงิน 30 หมัน ในกรณีที่หญิงนั้นตายจะถูกชาวบ้านปรับไหมเรียกว่า เฮียวซาว โดยให้ฆ่าควาย 1 ตัว เพื่อเลี้ยงผู้มาช่วยงานศพแล้วมอบความรับผิดชอบการจัดงานศพให้ฝ่ายขายรับภาระทั้งหมด
ความสัมพันธ์ระหว่างสามี – ภรรยา หลัง จากแต่งงานแล้วจะต้องซื่อสัตย์ต่อกัน สามีจะไม่ไปติดพันหญิงอื่น ส่วนภรรยาก็จะไม่ไปลงข่วงปั่นฝ่ายอีก ทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือนที่ดี จะไปไหนมาไหนในยามค่ำคืนต้องบอกกล่าวขออนุญาตสามี หากสามีไปเป็นชู้กับหญิงอื่นที่มีสามีแล้ว หรือกรณีที่ภรรยามีชู้ จะถูกปรับไหมเป็นเงิน 60 – 120 หมัน

ประเพณีการตาย

ประเพณีไทดำเมื่อมีคนตาย ในหมู่บ้านจะมีการยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัด เพื่อเป็นสัญญาณบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน ซึ่งทุกคนจะหยุดทำงานจนกว่าจะนำศพไปฝัง ภายหลังตายบรรดาญาติพี่น้องจะช่วยกันอาบน้ำศพ จากนั้นก็แต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าของเผ่าไทดำ นำผ้าแพรสีขาวมาเย็บเป็นถุงบรรจุศพแล้วใช้ไหมเย็บติดให้เรียบร้อย บรรจุลงในโลงศพโดยใช้ผ้าคลุมหน้าศพไว้ผืนหนึ่ง กรณีเด็กน้อยตายจะไม่ประกอบพิธีกรรม ตายวันไหนให้นำไปฝังในวันนั้น ส่วนคนหนุ่มสาวถ้าตายตอนกลางคืน ในเช้าวันรุ่งขึ้นให้ฆ่าหมูหรือวัวควาย 1 ตัว ทำอาหารจัดสำรับทำบุญอุทิศให้ผู้ตายกิน เรียกว่า เฮ็ดงาย พอ ถึงตอนเย็นก็นำไปฝัง ส่วนคนวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุตายเก็บศพไว้ 1 – 2 คืน แล้วจึงนำไปฝัง และฆ่าหมูหรือวัวควาย 1 ตัว เฮ็ดงายให้ผู้ตายในเช้าของวันที่จะนำไปฝังการทำพิธีฝังฆ่าหมู 1 ตัว อุทิศให้เรียกว่า หมูเข้าขุม หลังจากนั้นอีก 3 วัน จะทำพิธีเฮ็ดเฮียว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ โดยนำเครื่องเฮียวไปส่งให้ที่ป่าช้า

พิธีบอกทาง เป็น พิธีส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์จะประกอบพิธีกรรมที่เรือนผู้ตายหลังจากฝังศพ แล้ว 3 วัน เริ่มจากการจัดเตรียมสิ่งของที่ใช้ในพิธี เช่น เฮียว เงิน ของใช้ในครัวเรือน เครื่องมือประกอบอาชีพ สัตว์เลี้ยง โดยทำเป็นสิ่งของจำลอง กระจาดและกระบุงใส่อาหาร บรรจุเสื้อผ้าและข้าวเหนียว อาหาร น้ำ และสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว เหล้า 1 ขวด เมื่อได้เวลาแล้ว เขยกก หรือสามีของลูกสาวคนโตของ ผู้ตายจะทำพิธีเชิญผีเรือนมากินเครื่องเซ่นและรับเอาสิ่งของเครื่องใช้ จากนั้นจะอ่านคำบอกทางจากสถานที่อยู่ปัจจุบันไปยังเมืองไล เมืองแถง ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของไทดำ เพื่อขึ้นไปเฝ้าแถนที่เมืองฟ้าต่อไป

เฮียว มี ลักษณะเป็นธงสามเหลี่ยมทำด้วยผ้าไหม ผูกติดกับราวไม้ไผ่ขดเป็นวงกลมยึดติดกับเสาเรียกว่า เสาหลวง สูงราว 3 – 4 เมตร แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่

เฮียวเครื่องใหญ่ ประกอบด้วยเฮียวจำนวน 80 อัน ทำเป็นกอ ๆ ละ 40 อัน การประกอบพิธีกรรมฆ่าควายอย่างน้อย 1 ตัว วัว 1 ตัว เป็น เฮียวของสิงลอคำ ซึ่งเป็นสิงท้าวที่สืบเชื้อสายของขุนนานหรือเจ้าผู้ครอบเมืองในเขตสิบสองจุไทในอดีต

เฮียวเครื่องกลาง ประกอบด้วยเฮียวจำนวน 40 อัน การประกอบพิธีฆ่าควายหรือวัว 1 ตัว เป็น เฮียวของสิงลอน้อย หรือ สิงกว้าน ซึ่ง เป็นตระกูลของไพร่ ถ้าหากมีคนในตระกูลสิงลอดำและสิงลอน้อยตายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน จะต้องทำพิธีกรรมอุทิศให้สิงลอดำก่อนแล้วจึงทำพิธีอุทิศให้สิงลอน้อย ถ้าทำพิธีให้สิงลอน้อยก่อนเชื่อว่าจะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลเพราะสิงลอดำ หรือสิงท้าวจะแย่งไปกินหมด

เฮียวเครื่องเล็ก ไม่ทำพิธีเฮ็ดเฮียว แต่จะฆ่าหมูทานอุทิศให้ ถ้ามีฐานะยากจนอาจจะไม่ฆ่าหมูก็ได้ จัดสำรับอาหารเล็กน้อยอุทิศให้ตามฐานะของครอบครัว

ในธรรมเนียมการจัดงานศพของไทดำนั้น เขยกก จะ ทำหน้าที่เป็นแม่งานทั้งหมด กล่าวคือเป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรดาญาติฝ่ายเขยหรือสะใภ้ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดสีขาวไว้ทุกข์ เขยกกจะใช้ผ้าสีขาวคาดศีรษะไว้เป็นสัญลักษณ์ให้สังเกต ในขณะนำศพไปผังที่ป่าช้านั้น ญาติจะจัดสำรับอาหารไปทานอุทิศให้ผู้ตายด้วยก่อนขุดหลุมฝังศพจะทำการเสี่ยง ทายด้วยการโยนไข่ไก่ลงพื้นดินเพื่อเลือกหาทำเลที่ขุดหลุมฝังถ้าหากไข่แตกตรง จุดใดก็ขุดหลุมฝังบริเวณนั้น จากนั้นใช้เชือก ไหมสายใจ ผูก มัดร่างศพแล้วหย่อนศพลงสู่ก้นหลุมกลบดินฝัง พูนดินให้สูงเหนือระดับพื้นดินเล็กน้อย สร้างเรือนจำลองหลังเล็ก ๆ คร่อมหลุมฝังศพนำสิ่งของเครื่องใช้และเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า เงินเสี้ยน ใส่ไว้ในเรือน โยง สายใจ ที่ ผูกมัดร่างศพต่อขึ้นไปบนเรือนจำลองแล้วโยงขึ้นไปสู่ปลายเฮียวเพื่อส่งวิญญาณ ผู้ตายขึ้นไปยังเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ บนปลายสุดของเสาหลวงทำหุ่นจำลองม้าขี่ หรือเก้าอี้นั่งตั้งไว้โดยมีร่มอันเล็ก ๆ กางป้องกันแดดฝนด้านบนสุด ถ้าผู้ตายเป็นผู้ชายจะใช้ม้าขี่จำลอง ถ้าเป็นผู้หญิงจะใช้เก้าอี้นั่งโดยมีความเชื่อว่าผู้ตายจะได้ใช้เป็นพาหนะ สำหรับนั่งไปยังเมืองฟ้าเพื่อพบแถน

เมื่อเสร็จพิธีฝังศพ ผู้ไปร่วมพิธีศพทุกคนจะลงไปอาบน้ำชำระร่างกายและสระผมในแม่น้ำ เพื่อชำระสิ่งอัปมงคลทั้งหลายออกจากร่างกาย พอถึงตอนเย็นหมอขวัญจะทำพิธีสู่ขวัญให้แก่ครอบครัวของผู้ตายและผู้ที่ไปส่ง ศพ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ทุกคน หลังจากนั้นครอบครัวของผู้ตายจะจัดสำรับอาหารไปทานอุทิศให้ที่หลุมฝังศพผู้ ตายเป็นเวลา 7 วัน พอครบวันที่เจ็ด เขยกก จะทำพิธีเชิญขวัญหรือวิญญาณของผู้ตายขึ้นไปเป็นผีเรือนโดยนำไปไว้ด้านในสุดของเรือนเรียกว่า กะลอหอง เพื่อ ปกป้องคุ้มครองลูกหลานและสมาชิกในครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขตลอดไป หลังจากนั้นเมื่อครบคอบวันตายทุก ๆ 10 วัน จะจัดพาข้าวเป็นสำรับเล็ก ๆ ทำพิธีเซ่นผีเรือนเรียกว่า เสนเทวดา ปาดตง หรือ มื้อปาดตง นำไปวางไว้ที่ห้องผีเรือนโดยใช้อาหารจากที่สมาชิกในครอบครัวรับประทานในชีวิตประจำวันส่วนการ เสนปาดตง พิเศษ จะทำในช่วงเวลาที่ได้ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวข้าว ทำพิธีเสนปาดตงเพื่อทานข้าวใหม่ให้ผีเรือนกินก่อนสมาชิกของครอบครัว เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวและลูกหลาน

เสนเรือน

พิธีเสนเรือน เป็นพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนของชนเผ่าไทดำซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ ได้แก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตามปกติพิธีเสนเรือนจะปฏิบัติกันทุกครอบครัวเป็นประจำ 2 – 3 ปีต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะและความพร้อมของครอบครัว เพื่อคุ้มครองบุตรหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินเจริญก้าวหน้า ผู้ประกอบพิธีกรรมคือ หมอเสน ส่วนผู้ร่วมพิธี ได้แก่ บรรดาลูกหลานและญาติ ๆ รวมทั้งแขกเชิญ ในกรณีที่เจ้าบ้านหรือสมาชิกในครอบครัว เป็นพนักงานของรัฐมีตำแหน่งสำคัญจะเชิญแยกจำนวนมาก บางครั้งแขกมาร่วมงาน 200 – 300 คน ญาติที่มาร่วมงาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือญาติสืบสายโลหิตจะแต่งกายแบบธรรมดา และญาติจากการแต่งงาน ได้แก่ ฝ่ายเขยหรือสะใภ้จะแต่งกายพิเศษด้วยชุด เสื้อฮี หรือเสื้อยาวเพื่อเป็นการเคารพผีเรือนและเป็นที่สังเกตให้ผู้มาร่วมงานรู้ว่าเป็นเขยหรือสะใภ้

ก่อนทำพิธีเสนเรือนจะจัด เตรียมสิ่งของที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ได้แก่ เหล้า หมู 1 ตัว ประกอบด้วยเนื้อหมู เครื่องใน หัวหมู กระดูกสันหลัง ตีน และหาง อาหารประเภทยำ เช่น ซุปใบฝาดส้มลม ยำหน่อไม้ แกงวุ้นเส้น แกงผักกูดใส่กระดูกหมู นอกจานี้ยังมีข้าวเหนียว ขนม ข้าวต้มมัด เผือกต้ม อ้อย ผลไม้และน้ำ ตามปกติจะเตรียมต้มเหล้าไว้ล่วงหน้าใส่ไหฝังดินไว้ 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อให้เหล้ามีคุณภาพดี ส่วนหมูจะเตรียมเลี้ยงไว้ล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ปี

พิธีเสนเรือน เริ่มตั้งแต่ในตอนเช้า โดยมีหมอเสนเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมในห้องผีเรือน ผู้เข้าร่วมพิธี ได้แก่ ญาติที่อยู่ในสิงหรือตระกูลผีเดียวกัน พิธีกรรมเริ่มจากเจ้าบ้านยกสำรับเครื่องเซ่นถวายผีเรือน จากนั้นหมอเสนจะเริ่มประกอบพิธีโดยกล่าวเชิญผีเรือนให้มารับเครื่องเซ่น โดยเรียกชื่อผีเรือนจาก “ ปั๊บ ” รายชื่อผีเรือนให้มากินเครื่องเซ่นทีละคน ขณะที่เรียกชื่อผีเรือนหมอเสนจะให้ไม้ทู (ตะเกียบ) คีบอาหารและเครื่องเซ่นป้อนให้ผีเรือนกิน โดยหย่อนลงทางช่องเล็ก ๆ ลงไปใต้ถุนบ้านแล้วหยอดน้ำตามลงไป จนกระทั่งเรียกชื่อผีเรือนครบทุกคน พิธีเซ่นให้ผีกินอาหารเช่นนี้จะทำ 2 ครั้ง คือมื้อเช้าและกลางวัน หลังจากนั้นจะเสนเหล้าหลวง โดยใช้เหล้า 1 ขวด และกับแกล้มเป็นเครื่องเซ่น หมอเสนจะทำพิธีเรียกผีบรรพบุรุษมากินตามรายชื่อในปั๊บผีเรือนจนครบทุกคนเป็น เสร็จพิธี

ขับมด

เป็นจารีตในการรักษาโรค ภัยไข้เจ็บของไทดำกล่าวคือ เมื่อมีคนเจ็บป่วยเรื้อรังในครอบครัว รักษาด้วยหมอยาพื้นเมืองแล้วไม่หาย สามีภรรยาหรือญาติของผู้ป่วยจะไปหา “ หมอเหยา ” มาเสกเปล่าเยียวยาแก้ไข ถ้ายังไม่หายก็จะเชิญหมอมดมาทำพิธีรักษา

หมอมดจะรักษาด้วยการขับ มดและเสี่ยงทาย เพื่อให้ทราบสาเหตุของการเจ็บป่วย ถ้าหากถูกผีทำก็จะทำพิธีเลี้ยงผี แก้ไขอาการเจ็บป่วย เดิมการรักษาของหมอมดมีค่าคาย (ขึ้นครู) 2 บี้ แต่ปัจจุบันใช่เงิน 1,000 กีบ เทียน 8 คู่ ไข่ 2 ฟอง กระเทียม 2 – 3 หัว ฝ้าย 1 มัด เกลือ 1 ห่อ ข้าวสารใส่กะละมัง หวี และปอยผม 1 ปอย เพื่อถวายให้ผีมด การรักษาเริ่มด้วยการให้ผู้ช่วยหมอมด 2 คนช่วยกันเป่าปี่ หมอมดจะทำการขับมดเพื่อเชิญผีมดให้มาช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุของการเจ็บป่วย โดยสุ่มถามผีมดว่าถูกผีอะไรทำ เช่น ถามว่าถูกผีเรือนทำใช่ไหม แล้วเสี่ยงทายหาคำตอบด้วยการสาดข้าวสารลงบนพื้น 3 ครั้ง ให้ได้จำนวนคู่ – คี่ สลับกัน กล่าวคือถ้าครั้งแรกได้จำนวนคู่ ครั้งที่สองจะต้องได้จำนวนคี่ และครั้งที่สามได้จำนวนคู่ แสดงว่าผิดผีเรือน ถ้าเสี่ยงทายไม่ได้จำนวนดังกล่าวก็จะเป่าปี่ขับมดต่อไปอีกจนจบคำขับมดแล้ว เสี่ยงทายอีกเช่นนี้จนกระทั่งได้จำนวนคู่สลับตามที่ต้องการ ดังนั้นการขับมดจึงใช้เวลานาน อาจใช้เวลาตั้งแต่ตอนบ่ายจนกระทั่งถึงกลางคืน เมื่อทราบถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยว่าถูกผีใดมาทำหมอมดก็จะให้ญาติผู้ป่วยจัด เตรียมเหล้าอาหารและสิ่งของสำหรับเซ่น เพื่อให้เลิกทำแก่ผู้เจ็บป่วย

การรักษาของหมอมดไม่มี ข้อห้ามในการรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน แม้ว่าคนป่วยจะนอนอยู่โรงพยาบาล หมอมดทำพิธีรักษาที่บ้านไปด้วยก็ได้ ผู้ร่วมพิธีขับมดได้แก่ ญาติพี่น้องใกล้ชิด เพื่อบ้านใกล้เคียง รวมทั้งคนในหมู่บ้านจะมาร่วมโดยไม่ต้องบอกกล่าว

ขับมด เป็นการรักษาทางด้านจิตใจ การเชิญหมอมดมารักษาแสดงว่าลูกผัวรักแพง รวมทั้งญาติและเพื่อบ้านมาเยี่ยมเยือนทำให้ผู้ป่วยมีขวัญและกำลังใจดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้หายจากการเจ็บป่วย

การแต่งกาย

ธรรมเนียมการนุ่งถือของไทดำ ชายจะนุ่งกางเกงและเสื้อที่ทำมาจากผ้าฝ้ายทอมือ ย้อมด้วยห้อมหรือสีดำแล้วคาดศีรษะด้วย ผ้าขันเฮี้ยว ยาว ประมาณ 4 วา ตามปกติในชีวิตประจำวันจะนิยมนุ่งกางเกงขายาวถึงครึ่งหน้าแข้ง สวมเสื้อแขนกระบอก ผ่าหน้าอกติดกระดุม 10 – 12 เม็ด ทำด้วยโลหะหรือเงินเรียกว่า หมากแป่ม ส่วนหญิงนุ่งซิ่นทอ ด้วยฝ้ายหรือไหมทำเป็นแถบสลับดำ – ขาว เป็นลายตั้งต่อเชิงลายจกด้านล่างยาวประมาณ 3 นิ้ว สวมเสื้อแขนสามส่วนทรงกระบอกสีดำหรือสีฟ้า ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทำด้วยโลหะหรือเงิน 10 – 12 เม็ด เกล้าผมมวยตั้งเหนือศีรษะเอียงไว้ด้านข้างเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวจะเกล้ามวยผมค่อนไปด้านหลัง ถอดปลายผมให้แผ่ออกเล็กน้อย อาจใช้ ผ้าเปียว คลุมศีรษะในขณะเดินทางเพื่อกันแดด ชายจะนุ่งกางเกงขายาว สวม เสื้อฮี แขน ยาว ผ่าอก ยาวคลุมถึงสะโพก คอเสื้อและแนวกระดุมประดับด้วยแถบผ้าไหมสีแดงหรือสีขาว ตัวเสื้อแต่งลวดลายให้สวยงาม ส่วนหญิงจะนุ่งซิ่นไหมลายตั้งสีดำ – ขาว สลับกัน ต่อเชิงลายจกด้านล่างด้วยผ้าไหมสีดำ สวมเสื้อฮีแบบคอกลม (ดูเพิ่มที่กลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)

ไทยวนสระบุรี

หลังจากที่บุเรงนองกษัตริย์พม่านำกองทัพ มาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อเตรียมจะใช้เป็นหัวหาด ในการนำทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาต่อไปอีกนั้น อาณาจักรล้านนาก็ตกอยู่ในอำนาจของพม่าตั้งแต่วันสงกรานต์ปี พ.ศ. 2101 เป็นต้นมา จากนั้นพม่าก็เข้าปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือเรื่อยมา จนพระญากาวิละจากนครลำปาง ได้ขอกำลังสนับสนุนจากพระเจ้าตากสินไปขับไล่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2317 หลังจากนั้น หัวเมืองฝ่ายเหนือโดยเฉพาะเชียงใหม่ก็ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ. 2325 พระเจ้ากาวิละแห่งนครเชียงใหม่ได้ทราบว่า เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นครองราชย์ จึงได้พาเจ้านายลงมาเข้าเผ้าทูลละอองธุลีพระบาทยังกรุงเทพฯ และถวายสิ่งของกับเชลยศึกซึ่งตีได้มาจากเชียงแสนด้วย

ใน พ.ศ. 2347 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดฯ ให้กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชพร้อมด้วยเจ้านายในหัวเมืองฝ่ายเหนือยก ทัพไปตีเมืองเชียงแสนซึ่งขณะนั้นพม่าปกครองอยู่ คราวนั้นพม่ามิได้ออกมาต่อสู้ด้วย เป็นแต่รักษาเมืองมั่นอยู่ กองทัพล้อมเมืองเชียงแสนเป็นเวลาเดือนเศษก็ไม่สามารถตีเมืองได้ และกองทัพก็ขัดสนเสบียงอาหาร ประกอบกับได้ข่าวว่ากองทัพเมืองอังวะจะยกมาช่วยเมืองเชียงแสนด้วย และช่วงนั้นเป็นฤดูฝนเดือนหกซึ่งทำให้ผู้คนในกองทัพล้มป่วย กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงให้ล่าทัพลงมา ให้แต่ทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือล้อมเมืองอยู่ ผู้คนในเชียงแสนก็อดอยากมาก จึงยอมสวามิภักดิ์และออกไปหาทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือ โปมะยุง่วนแม่ทัพพม่าเห็นเหลือที่จะห้ามปรามไว้ได้ก็ยกทัพหนีไป และตัวโปมะยุง่วนเองก็ถูกปีนตายในที่รบ

คราวนั้นกองทัพไทยให้รื้อกำแพงเมืองและ บ้านเมืองเสีย รวบรวมผู้คนชาวเชียงแสนได้ 23,000 คน แบ่งออกเป็น 5 ส่วน แล้วแยกไปอยู่เชียงใหม่ ลำปาง น่าน เวียงจันทร์และอีกส่วนหนึ่งถวายลง ณ กรุงเทพฯ ซึ่งก็โปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สระบุรีและราชบุรี

ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมืองสระบุรีตั้งขึ้น เป็นเมืองตั้งแต่ครั้งใด สมเด็กกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าเมืองสระบุรีเห็นจะได้รับการประกาศตั้งเป็นเมืองเมื่อ พ.ศ. 2092 ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ การตั้งเมืองสระบุรีขึ้นนั้นก็เพื่อรวบรวมผู้คนไว้ช่วยป้องกันศัตรูคือพม่า เมืองที่ตั้งขึ้นครั้งนั้นกำหนดแค่เพียงเขตแดน มิได้สร้างบริเวณเมืองหากผู้รั้งเมืองตั้งจวนอยู่ที่ไหนก็ได้ชื่อว่าที่ทำ การของเมืองอยู่ที่นั้น ตัวเมืองสระบุรีดั้งเดิมตั้งอยู่บริเวณบึงโง้ว ใกล้จังหวัดจันทรบุรี อำเภอเสาไห้ ปัจจุบันชาวเชียงแสนที่อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ก็คือมาตั้งบ้านเรือนอยู่ใน ท้องที่อำเภอเสาไห้ปัจจุบันนี้โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก ตั้งแต่วันที่ว่าการอำเภอเสาไห้ขึ้นไปทางตะวันออก ภายหลังเมื่อมีบุตรหลานมากขึ้น ก็ย้ายถิ่นฐานออกไปตั้งบ้านเรือนทำนำไกลจากฝั่งแม่น้ำป่าสัก ออกไป

คนเชียงแสนที่อพยพไปอยู่สระบุรี เรียกตนเอง่า คนยวน เรียกกาษาที่ตนพูดว่า ภาษายวน มา จนทุกวันนี้ปัจจุบันมีคนยวนไปตั้งถิ่นฐานทุกอำเภอ (ยกเว้นอำเภอหนองโดนและอำเภอดอนพุด) อำเภอที่มีคนยวนตั้งบ้านเรือนอยู่มากที่สุด คืออำเภอเมือง อำเภอเสาไห้ และกิ่งอำเภอวังม่วง

คนยวนที่เป็นหัวหน้านำหมู่คนยวนจากเชียงแสนมาครั้งนั้น ที่ยังมีชื่อจดจำเล่าขานกันมาจนถึงทุกวัน

ปู่เจ้าฟ้า ได้นำ บริวารมาตั้งผังเรือนอยู่ที่บ้านกับปู่เจ้าฟ้าอยู่ที่บ้านเจ้าฟ้าที่บ้าน เจ้าจะมีศาลปู่เจ้าอยู่ เมื่อวันสงกรานต์ชาวบ้านจะมีพิธีไหว้ผีแบบไทยวน แล้วอัญเชิญวิญญาณปู่เจ้าฟ้ามาประทับทรง ให้ลูกหลานสรงน้ำและท่านก็จะพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองปีต่อไปให้ทราบ

ปู่เจ้าฟ้ามีน้องคนหนึ่งชื่อ หนานต๊ะ นำ บริวารมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสิบต๊ะ (ปัจจุบันเรียกว่าบ้านสวนดอกไม้) เล่ากันว่าหนานต๊ะเป็นผู้มีอาคมขลังมากและรบเก่ง สามารถยกเต้าปูนขึ้นรับลูกธนูที่ศัตรูยิงมาได้ และหนานต๊ะผู้นี้ที่ร่วมตัดต้นตะเคียนที่บ้านสันปะแหน แล้วส่งไม้นี้ไปยังกรุงทำฯ เพื่อคัดเลือกเป็นเสาหลักเมือง แต่ไม้นี้ไม่ได้รับการคัดเลือกจึงลอยทวนน้ำขึ้นมาจมอยู่ที่หน้าที่ว่าการ อำเภอเสาไห้ บางคืนนางไม้จะขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วร้องโหยหวน ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่าบ้านเสาไห้ (เดิมชื่อบ้านไผ่ล้อมน้อย) ปัจจุบันได้นำเสานี้ขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดสูง อำเภอเสาไห้ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 501

หัวหน้าอีกคนหนึ่งที่นำหมู่คนยวนมาครั้งนั้นชื่อว่า ปู่คัมภีระ ได้ นำหมู่คนยวนมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านไผ่ล้อมอันเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับ บ้านเจ้าฟ้าขึ้นไปทางตะวันออก ท่านผู้นี้ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองโคสมัยรัชการที่ 2 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองสระบุรี มีบรรดาศักดิ์ว่า พระยารัตนกาศ ท่านผู้นี้มีบุตร 4 คน คือ

บุตรชายคนแรกไม่ทราบนามเดิม เมื่อบิดาของท่านถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองสระบุรีสืบต่อจากบิดา มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยารัตนกาศ เช่นเดียวกับบิดา

บุตรชายคนที่สองของปู่คัมภีระ ไม่ทราบนามเดิม เมื่อพี่ของท่านเป็นเจ้าเมืองสระบุรี ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นปลัดเมืองสระบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็น พระบำรุงราษฎร์

บุตรชายคนที่สามของปู่คัมภีระชื่อพ่อ เฒ่ามหาวงศ์ หรือหลวงยกรบัตรมหาวงศ์ บุตรของท่านผู้นี้คือพระการีสุนทรการ (ทองคำ) ซึ่งเคยเป็นนายอำเภอแก่งคอย (พ.ศ.2436 – 2457) และบุตรของพ่อเฒ่ามหาวงศ์อีกคนหนึ่งคือพระยารัตนกาศ (แก้วก้อน) เคยเป็นนายอำเภอเสาไห้ (พ.ศ.2439 – 2442)

บุตรคนที่สี่ของปู่คัมภีระเป็นหญิงชื่อแม่เฒ่าบัวนำ สามีของท่านคือพระบำรุงภาชี มีหน้าที่ดูแลพาหนะม้า สังกัดกองโค

แต่ละท่านที่กล่าวนามมานี้ มีบุตรหลานสืบสายต่อกันมามากมาย จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ชาวไทยวนสระบุรี จะมีเอกลักษณ์ของตนเองสองประการ คือ ภาษา และ ประเพณี ดังจะกล่าวต่อไปนี้

ภาษา

ชาวไทยวนสระบุรีจะพูดภาษายวน ซึ่งก็คือภาษาไทยนั่นเอง ต่างแต่ว่าจะมีสำเนียงเสียงต่างไปจากภาษาไทยกรุงเทพฯ ภาษาไทยวนสระบุรีจะมีสำเนียงเสียงและคำศัพท์ เช่นเดียวกับภาษาถิ่นล้านนาทุกประการ
ชาวไทยวนสระบุรียังได้นำเอาภาษาของตนมาร้อยกรองให้มีเสียงสัมผัส นำมาร้องอย่างท่วงทำนอง เรียกว่า จ๊อย ตาม แบบที่ล้านนาเรียกว่า “ ซอ ” ซึ่งมีปรากฏทั่วไป ผู้ที่มีปฏิภาณโวหารดีและมีน้ำเสียงดีจะจ๊อยได้ อย่างน่าฟัง การจ๊อยอาจจ๊อยคนเดียวหรือจ๊อยคู่โต้ตอบกันก็ได้ เมื่อจ๊อยตอนใดเป็นที่ถูกใจของผู้ฟัง ผู้ฟังจะร้องออกมาดัง ๆ ว่า เช้ย หรือ เต๊กเข้าไป เป็นที่สนุกสนาน เนื้อหาที่นำมาจ๊อยกันอาจมีทั้งบทเกี้ยวพาราสี คำสอน นิทาน ชาดก ประวัติต่าง ๆ ฯลฯ

ภาษา

ชาวไทยวนสระบุรีจะพูดภาษายวน ซึ่งก็คือภาษาไทยนั่นเอง ต่างแต่ว่าจะมีสำเนียงเสียงต่างไปจากภาษาไทยกรุงเทพฯ ภาษาไทยวนสระบุรีจะมีสำเนียงเสียงและคำศัพท์ เช่นเดียวกับภาษาถิ่นล้านนาทุกประการ

ชาวไทยวนสระบุรียังได้นำเอาภาษาของตนมาร้อยกรองให้มีเสียงสัมผัส นำมาร้องอย่างท่วงทำนอง เรียกว่า จ๊อย ตาม แบบที่ล้านนาเรียกว่า “ ซอ ” ซึ่งมีปรากฏทั่วไป ผู้ที่มีปฏิภาณโวหารดีและมีน้ำเสียงดีจะจ๊อยได้ อย่างน่าฟัง การจ๊อยอาจจ๊อยคนเดียวหรือจ๊อยคู่โต้ตอบกันก็ได้ เมื่อจ๊อยตอนใดเป็นที่ถูกใจของผู้ฟัง ผู้ฟังจะร้องออกมาดัง ๆ ว่า เช้ย หรือ เต๊กเข้าไป เป็นที่สนุกสนาน เนื้อหาที่นำมาจ๊อยกันอาจมีทั้งบทเกี้ยวพาราสี คำสอน นิทาน ชาดก ประวัติต่าง ๆ ฯลฯ

ตัวอย่างบทจ๊อยเกี้ยวของฝ่ายชาย
ของปู่หลวงเยีย บ้านหวยหวาย อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ว่า ดังนี้ “ รู้ข่าวว่าจะได้มานี้ หลับตะคืนนี้ พี่บ่เป็นอันนอน ใจระริ่งวิงวอน ใคร่อยากหัน (เห็น) หน้าเจ้า แจ้งรุ่งเช้า ผ้าและเสื้อ แนบเนื้อก็ลืมเอา

มาหัน (หน้า) หนึ่งเทื่อ (ครั้ง) พี่บ่อยากใคร่หนี มาหันหน้านายหนึ่งที ใจพี่อยากใคร่ได้ ขดตัวเข้าหา ขยับกายาเข้าใกล้ ตัดไม้ไขว่คว้าเติง (ถึง)

ขอบุญเถิงบุญเติงเต๊อะเจ้า พี่กินข้าววันละเท่าหน่วยมะแขว้ง (มะเขือพวง) ก็ยังเหลือ พี่กินข้าววันละเท่าหน่วยมะเขือ ก็ยังบ่เสี้ยง (หมด) คิดฮอด (ถึง) แม่นายหน้าแก้มเกลี้ยง พี่กินน้ำบาดคอลง

พี่คิดฮอด (ถึง) น้อง เหมือนแมงเม่าเมาฝน พี่คิดฮอดนายเหมือนคนเมาเหล้า ข้าเมาเจ้าเหมือนไก่เมาค้อน เมารีบเมาร้อน เหมือนปลาแกดก้างเมามัว

ตกตาเพิ่น (ท่าน) เป็นดีใคร่หัว (หัวเราะ) ตกตาตัวเป็นดีใคร่ได้ (ร้องไห้) ตายเป็นตาย พี่บ่หมายหวังได้ ฟู่ (พูด) เอาไว้เสี่ยงตามบุญ

(ลง) ดอกสบันงานแห้ง หอมสุนดา เฮย... ”


นอกจากนี้ชาวไทยวนยังได้มีอักษรของตนใช้ มานานแล้ว เมื่อชาวเชียงแสนอพยพมาอยู่สระบุรี ก็นำเอาอักษรเหล่านี้มาใช้ด้วย ใช้เขียนลงในสมุดข่อย หรือจารลงบนใบลาน ไทยวนสระบุรีเรียงหนังสือนี้ว่า หนังสือยวน ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่า ตัวเมือง หรืออักษรพื้นเมือง

การบันทึกลงในสมุดไทยหรือสมุดข่อยด้วย อักษรยวน มักจะเป็นตำราหมอดู ตำรายาสมุนไพร เวทมนต์คาถาต่าง ๆ ส่วนที่จารลงในใบลานส่วนมากจะเป็นพระธรรมเทศนา คัมภีร์เทศน์ยวนที่คนยวนนิยมสร้างถวายวัดที่เชื่อว่าได้บุญมาก คือเรื่องพระเวสสันดรชาดร ยอดไถลปิฎก (ยอดพระไตรปิฎก) กรรมวาจา และพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์

เรื่องเวสสันดรชาดำนั้นมีทั้งฉบับที่มี สำนวนต่างกัน เช่น ฉบับท่าแป้น ฉบับวิงวอน ฉบับสายฟ้าหม่อน ฉบับหนองเสริญ ฉบับไผ่แจ้เรียวคำ คัมภีร์ยวนต่าง ๆ เหล่นี้ คนยวนได้ต้นฉบับมาจากเมืองเหนือ เพราะไม่เคยปรากฏว่าไทยวนสระบุรีแต่งคัมภีร์ต่าง ๆ ได้ เมื่อได้มาก็คัดลอกโดยจารต่อ ๆ กันมา หลายคนสามารถจารหนังสือยวนลงบนใบลานด้วยสายมือที่สวยงามมาก เช่น พระโอ่งวัดต้นตาล นายปู ท้าวมหาวงศ์ เป็นต้น

จากการที่มีหนังสือยวนนี้ ทำให้มีประเพณีที่เกี่ยวกับหนังสือยวนหลายประการ เช่น ประเพณีการเทศน์มหาชาติ โดยนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์ยวนให้ฟัง แต่ละกัณฑ์จะมีท่วงทำนองที่ไพเราะแตกต่างกันไป ทำนองการเทศยวนนี้จะต่างจากทำนองที่เทศน์กันในภาคเหนือ

อีกประเพณีหนึ่งที่ชาวไทยวนสระบุรีได้มา จากชาวไทยวนในล้านนา คือการสะเดาะเคราะห์ประจำปี นิยมทำในระหว่างเทศกาลสงกรานต์ และทำให้ครอบครัวของแต่ละบ้านโดยทำสะตวง (กระทงทำด้วยหยวกกล้วย) 9 ห้อง เอาดินมาปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ และรูปคน 32 ชนิด ใส่ลงในสะตวงเอากระดาษสีมาตัดเป็นธงสามเหลี่ยม (ช่อน้อยตุงชัย) ปักรอบสะตวง มีฉัตร เบี้ยจั่น ข้าวสาร หมากพลูร้อย กล้วย 2 หวี มะพร้าว 2 ผล ข้าวเปลือก ข้าวสาร เอาสายสิญจน์มาวัดรอบตัว (ของทุกคนในครอบครัว) วัดจากศรีระจรดเท้า วัดรอบข้อมือข้อเท้า วัดรอบนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วนำสายสิญจน์นี้มาตัดเป็นท่อนชุบน้ำมันหรือไขเทียนจุดเวลาพระเทศน์ จุดธูป 100 ดอก โยงสายสิญจน์รอบสิ่งของและทุกคน แล้วนิมนต์พระสงฆ์เทศน์เรื่องสารากริกวิชชานสูตร เมื่อเทศน์จบก็นำไปสะตวงนี้ไปวางที่ทางสามแพร่งนอกบ้าน เชื่อว่าพิธีกรรมนี้จะทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บไม่มีเคราะห์ร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง คนยวนจะนำฝ้ายมาฟั่นเป็นรูปตีนก 3 ตีนใส่ลงในถ้วย 5 ใบ มีน้ำมันหล่อก้นถ้วยพอเป็นเชื้อเพลิง นำไปรวมกันที่วัดเวลาเย็น แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์เรื่องพญากาเผือก ผู้ฟังก็จะจุดด้ายตีนกาที่ถ้วยของตนเป็นการบูชาธรรม พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตมะ และพระศรีอริยเมตไตรย ตามเนื้อเรื่องที่เทศน์ว่าเป็นลูกพญากาเผือก

ประเพณีการเทศน์ที่ถือว่าทำแล้วได้บุญ มากอีกอย่างหนึ่งคือ “ บุญสำรวมชาติ ” เป็นงานบุญใหญ่ต้องเตรียมการอย่างมาก คือเจ้าภาพต้องปลูกผาม (ปะรำ) 5 ห้อง ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้เสา 30 ต้น เสาแต่ละต้นประดับด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย หลังคามุงด้วยใบไม้ ทำอาสน์สงฆ์ภายในผามให้หันหน้าไปทิศอุดรหรือบูรพา ห้องที่สามของผามทำธรรมาสน์ให้สูงเด่นประดับสวยงาม ห้องที่สองของผามก่อพระเจดีย์ทราย 7 องค์ เอาผ้าเหลือพันรอบเจดีย์ทั้ง 7 องค์ นอกผามออกมาทำราชวัติ 12 คู่ ปักฉัตร 24 ต้น ทำต้นกัลปพฤกษ์ไว้ที่สี่มุมของผาม เอาบาตร จีวร ขนม ผลไม้ ตะเกียง เครื่องอัฐบริขารของพระแขวนไว้ที่ต้นกัลปพฤกษ์นี้ เครื่องบูชากัณฑ์เทศน์มีดอกไม้เงิน 50 ดอก ดอกไม้ทอง 50 ดอก (ต้องใช้เงินแท้ ทองแท้) ข้าวพันก้อน ดอกบัวพันดอก ช่อหรือธงสามเหลี่ยมเล็กพันอัน ดอกไม้ธูปเทียนอย่างละพัน

งานจะเริ่มในตอนเย็นโดยนิมนต์พระสงฆ์ 25 รูปมาเจริญพระพุทธมนต์ที่ผามนี้ จบแล้วเจ้าภาพกล่าวคำถวายผามและธรรมาสน์แก่พระสงฆ์ เมื่อเสร็จงานก็จะรื้อสิ่งก่อสร้างทั้งหมดนี้ถวายวัดไป

รุ่งเช้านิมนต์พระสงฆ์ 25 รูป ที่มาเจริญพระพุทธมนต์เมื่อเย็นวานมารับอาหารบิณฑบาตที่ผ่านมา จากนั้นก็จะมีการเทศน์เรื่องยอดไถลปิฎกและกรรมวาจา โดยพระสงฆ์จะนั่งเทศน์ที่อาสน์สงฆ์ เมื่อพิธีกรอาราธนาจบ พิณพาทย์จะบรรเลงเพลงสาธุการรับ แล้วจึงเริ่มเทศน์ คัมภีร์เรื่องสำรวมธาตุจะมี 4 ผูก พระสงฆ์จะเทศน์ 4 รูป เมื่อแต่ละรูปเทศน์จบผูกหนึ่งก็จะลงมานั่งที่อาสน์สงฆ์ ภิกษุรูปต่อไปก็จะขึ้นเทศน์ผูกต่อไป เมื่อจบผูกที่ 4 พิณพาทย์ก็จะบรรเลงเพลงสาธุการรับ 7 จบด้วยกัน จากนั้นเจ้าภาพก็จะถวายเครื่องกัณฑ์ ถวายต้นกัลปพฤกษ์ ถวายต้นกล้วยต้นอ้อยทั้งหมดแก่ท่าน ส่วนผามและธรรมมาสน์ก็จะรื้อถวายวัดต่อไป

จะเห็นได้ว่างานบุญสำรวมธาตุเป็นกุศล ใหญ่ ต้องมีทรัพย์พอสมควรจึงทำได้ เนื้อหาที่เทศน์จะกล่าวถึงเรื่องอายุของพระศาสนาที่เรียวลดหดหายไปเรื่อย ๆ นัยว่าเป็นการทำบุญเพื่อสืบต่ออายุชองของพระพุทธศาสนา และเป็นการเตือนสติให้รับบำเพ็ญธรรม จึงถือการทำบุญสำรวมธาตุเป็นบุญที่มีผลกุศลแรงมาก
จากที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าคนยวนมีภาษ ยวนไว้สื่อสารกัน และใช้จดจารึกสิ่งที่มีสาระต่าง ๆ อันเป็นที่มาแหล่งประเพณีที่เกี่ยวข้องกับภาษาหลายประการ

ประเพณี

ไทยวนสระบุรี มีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนหลายประการ ดังจะนำมากล่าวต่อไปนี้

1. การแต่งกาย

การแต่งกายของชาวไทยวน จากเชียงแสนซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่สระบุรีเมื่อ พ.ศ. 2347 นั้น สามารถพิจารณาได้จากจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดสมุหประดิษฐาราม อำเภอเสาไห้ ซึ่งเขียนประมาณสมัยรัชกาลที่ 4 หรือ 5 ประกอบคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ

ผู้ชายสมัยก่อนนิยมสัก ตามร่างกาย ถือว่าเป็นของขลังประจำตัวและถือเป็นการอวดกันได้ เช่น การสักขาดำ แสดงถึงความอดทน แสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย มีคำกล่าวสนุก ๆ ว่า “ สักบ่พอสองแข้ง สาวบ่แกว่ง...หา สักบ่เต็มสองขา สาบ่อ้า...หี้อ ” เวลานุ่งผ้าจะถลกชายผ้าขึ้นสูง (เค็ดม่าม) เพื่ออวดขาดำของตน ชายแต่ก่อนนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าแต่เวลาไปทำงานนิยมนุ่งกางเกงสามส่วนเรียกว่ากางเกงขาก๊วย (ล้านน้าเรียกว่า เตี่ยวสะดอ ) สวมเสื้อกุยเฮงสีดำหรือกรมท่า ต่อมาเวลาไปงานหรือไปวัด นิยมนุ่งกางเกงสวมเสื้อขาวคอกลม ผ่าอก หรือนุ่งโสร่ง

ส่วนผู้หญิงสมัยก่อนเวลา ไปทำงานนอกบ้านจะใส่เสื้อแขนกระบอกสีดำหรือสีกรมท่า เวลาไปงานหรืออยู่บ้านจะใช้ผ้าขาวม้าหรือสไบพันอก ผ้าซิ่นจะมีระบายข้างบนและล่าง ตัวซิ่นจะมีลายพาดขวางกลาง จนมีคำล้อเลียนว่า “ ยวนก้นก่าน ” สมัยต่อมาจึงนิยมใส่เสื้อชั้นในคอกระเช้า ลำตัวหลวม ๆ จากนั้นก็ถึงสมัยใส่ยกทรงและมีเสื้อคอแบะ แขนสั้น ผ่าอก

การแต่งกายของชายหญิง ไทยวนสระบุรีได้พัฒนามาตามลำดับตามสมัยนิยม เครื่องแต่งกายแบบเก่าที่ยังเหลือมาถึงทุกวันนี้ ก็คือหญิงยังนิยมนุ่งซิ่นลายพาดขวางอยู่ ส่วนชายไทยวนปัจจุบันไม่มีการนุ่งผ้าโจงกระเบนกันแล้ว ส่วนมากทั้งชายและหญิงนิยมแต่งกายตามสมัยนิยมทั่วไป

2. ที่อยู่อาศัย

ชาวเชียงแสนมีเรือนเป็น เอกลักษณ์ของตนเรียกว่า เรือนเชียงแสน หรือเรือนกาแล คือมีไม้ไขว้กันบนหลังคาเหนือจั่ว เรือนส่วนบนจะผายออก ที่เรียกว่าเรือนอกโต เอวคอด

เมื่อชาวเชียงแสนอพยพมา อยู่สระบุรียุคนั้นคงปลูกเรือนกาแลอยู่บ้าง ด้วยว่าคนเราย่อมอดไม่ไม่ได้ที่จะปฏิบัติตามประเพณีของตน ภาพจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดจันทรบุรี คือภาพเรือนกาแลปรากฏอยู่ จากการสอบถามผู้สูงอายุ เช่น ผู้ใหญ่สมบูรณ์ กำเนิดจันทร์ บ้านเสาไห้ ก็ว่าเรือนเก่าบิดามารดาของท่านก็เป็นเรือนกาแล ชาวไผ่ล้อมก็เล่าว่าเรือนเก่าของพ่อเฒ่าคัมภีร์นั้นก็เป็นเรือนกาแล ตลอดมาถึงลูกหลานเหลนคือนางทับทิน และได้รื้อเสียเมื่อ พ.ศ. 2516 เพราะเก่าและชำรุดมาก

ปัจจุบันไม่มีเรือนกาแลหรือเรียนเชียงแสนที่สระบุรีแล้ว ไทยวนส่วนมากนิยมปลูกบ้านทรงไทยแบบภาคกลาง หรือเรือนไทยอยุธยา

3. ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต

คนสมัยก่อนมีความเป็น อยู่พึ่งพาอาศัยกัน ผู้สูงอายุซึ่งมีประสบการณ์มาก จะเป็นที่พึ่งพาของผู้เยาว์ได้เป็นอย่างดี เช่น เมื่อคลอดบุตร ตำราของพ่อใหญ่สอน ทองอุ่นเรือน บ้านหัวปลวก อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ระบุการตัดรกไปทิ้งไว้ว่า

“ ผู้ใดเกิดเดือน 1, 2, 3 หื้อ (ให้) เสียรกวันตก จักรู้หลวก (ฉลาด) ดี มีข้าวของแล ผู้ใดเกิดเดือน 4, 5, 6 หื้อ (ให้) เสียรกหนพายัพ หรดี อีสาน มีข้าวของแล ผู้ใดเกิดเดือน 7, 8, 9 หื้อเสียรกหนเหนือ ดีแล ผู้ใดเกิดเดือน 10, 11, 12 หื้อเสียหนวันออก จักรู้หลวก (ฉลาด) ดี มีข้าวของและหากว่าเสียรกบ่ถูก เป็นง่าว (โง่) คือว่า อ่างอะ ไปเสียบ่เป็นคนดี ”

เมื่อคลอดบุตรแล้วมารดา ต้องอยู่ไฟ (เรียกว่า แม่เฮือนไฟ) ดินที่จะเอามาใส่แคร่ไฟ ก็ต้องเลือกทิศเอาเช่นกัน ดังตำราพ่อใหญ่สอน ทองอุ่นเรือน กล่าวว่า

“ สิทธิการ จักกล่าวดินชีไฟก่อนและ (แคร่ดินที่วาง ฟืน ไฟ คนยวนเรียก แม่ชีไฟ) เดือนเกี๋ยง (อ้าย) เดือนยี่ เอาดินหรดี เดือนสาม เอาดินหรดี เดือนสี่ ห้า เอาดินหนอาคเนย์ เดือนหก เจ็ด เอาดินหนพายัพ เดือนแปด เอาดินหนอีสาน เดือนเก้า เอาดินหนอุดร เดือนสิบ สิบเอ็ด สิบสอง เอาดินหนบูรพา ดีกันแล ” ขณะที่เอาดินถมแคร่ไฟนั้น ผู้ถมต้องผินหน้าไปทางตะวันออกหรือทิศใต้จึงจะดี

ระยะที่มารดาอยู่ไฟนี้ ต้องระวังเรื่องอาหารเป็นอย่างมาก กับข้าวส่วนมากจะเป็นปลาช่อนหรือเอาเกลือคั่วให้แตกเรียกว่า เกลือสะตุ เอาผักมาจิ้มเกลือนี้กินกับข้าว จนกระทั่งออกไฟ

การตั้งชื่อเด็ก พ่อแม่อาจตั้งชื่อเองหรือให้ญาติผู้ใหญ่ให้พระตั้งให้ก็ได้ ชื่อคนยวนแต่ก่อนจะมีพยางค์สั้น ๆ และมีเสียงเป็นสำเนียงยวน คำที่คนรุ่นเก่านิยมนำมาตั้งชื่อคน มีดังนี

•  นำเอาสิ่งที่อยู่สูงมาตั้งชื่อคน เช่น จันทร์ (จั๋น) ดาว พรหม ฟ้า

•  นำเอาสิ่งธรรมชาติมาตั้งชื่อคน เช่น ไม้ ดิน หิน ฝน อุ่น เย็น แสง เมฆ

•  นำเอาอวัยวะมาตั้งชื่อคน เช่น ใจ ผิว ดี มูล ตา เนตร

•  นำเอาชื่อสัตว์มาตั้งชื่อคน เช่น หนู ปลา แมว หมา ปู ควาย ด้วง บุตรคนหัวปีนิยมตั้งชื่อว่า “ หนู ” บุตรที่พ่อแม่รักมากนิยมตั้งชื่อว่า “ หมา ”

•  เอาชื่อพีชมาตั้งชื่อคน เช่น บัว กุหลาย รัก ดาวเรือง ฝ้าย ใบ อุบล สายหยุด บุนนาค สำลี จำปี จำปา แตง พุด ฯลฯ

•  นิยมนำเอาอาการกริยามาตั้งชื่อคน เช่น เชื่อม พริ้ง เที่ยง ชม หลอม หล่อ เพียร ปั้น ลือ ลา หยาด ไหว เชย ซ้อน ไซร้ นำ ตื่น ตา ผัน ผิน ผาย ฟุ้ง ทำ ฟื้น ฟู หัน เห หวน ยิ้มอิ่ม วุ่น หา ตั๋น มามีปลิวอยู่ จำวอน ย้อย อั้น ถ่วง หน่าย ช่วย สืบ เวียน สอน เจือ ฯลฯ

•  นำเอาเครื่องใช้มาตั้งชื่อคน เช่น พัด กา หมึก พิณ ขวาน สุ่ม แห โต๊ะ ช้อน หมอน ตู้ เข็ม เทียน บุง ฯลฯ

•  นำเอาคำวิเศษณ์มาตั้งชื่อคน เช่น อ่อน ใหม่ เหลี่ยม กลม แบน แหลม บ้าน เล็ก โต เจริญ มน ยอด หลวง พร้อม มาก ใส น้อย เหนือ หลาย เรือง สุข เป็ง ติ๊บ (ทิพย์) แป้น ดี คด นวล หวาน ฯลฯ

•  นำเอาเวลาหรือทิศทางมาตั้งชื่อคน เช่น สาย เที่ยง บ่าย เย็น วัน ปี เดือน ขาล เถาะ กุน อ้าย รุน หล้า ได้

•  นำเอาคำบอกจำนวนมาตั้งชื่อคน เช่น หนึ่ง สอง สาม หก มาก น้อย หลาย พัน แสน ซาว

•  นำเอาชื่อเครื่องเรือนมาตั้งชื่อคน เช่น เสา เรือน รอด คา

•  นำเอาสีต่าง ๆ มาตั้งชื่อคน เช่น ดำ แดง ขาว เขียว เหลือ ฟ้า อ่ำ ปู (ชมพู)

• นำเอาอัญมณีมาตั้งชื่อคน เช่น แก้ว เพชร พลอย คำ นาค เงิน นิล แหวน สร้อย

• นำเอาลักษณะนามมาตั้งชื่อคน เช่น พวง สาย ยวง ใย

• นำเอาเสียงธรรมชาติมาตั้งชื่อคน เช่น แอ๊ด อู๊ด อ๊อด

• คำอื่น ๆ เช่น แหยม แขม ขอม เนี่ยม ตอง ราน ฯลฯ

• สร้างคำผสมโดยใช้คำที่เป็นมงคลนำหน้าคำอื่น เช่น


แก้ว - แก้วตา แก้วดี แก้วคำ

บุญ - บุญตา บุญเหลือ บุญมี บุญมา บุญเรือง บุญธรรม

ทอง - ทองอุ่น ทองใบ ทองดี ทองคำ ทองอ่อน

จันทร์ - จันทร์แก้ว จันทร์ดี จันทร์ทิพย์ (ติ๊บ) จันคำ จันทรา (จั๋นตา)

คำ - คำเรือน คำหน้า คำผง คำฝอย คำน้อย คำตั๋น

สาย - สายทอง สายบัว สายใจ สายฝน

บัว - บัวตอง บัวคำ บัวผิน ผัวผาย บัวเผื่อน

หนู - หนูอินทร์ หนูอิ่ม หนูปั่น หนูนาย

ไทยวนปัจจุบันนิยมตั้งชื่อบุตรหลายของตนด้วยคำบาลีสันสกฤตที่ไพเราะ โดยยึดคัมภีร์มหาทักษาเป็นหลัก

ผู้อาวุโสจะเรียกเด็กชาย โดยใช้คำว่า “ ไอ่ ” หรือ บ่า นำหน้าชื่อ เรียกเด็กผู้ชาย โดยใช้คำว่า “ อี่ ” นำหน้าชื่อ เช่น ไอ่แดง บ่าแดง อี่แดง ฯลฯ ส่วนผู้เยาว์จะใช้คำดังกล่าวนำหน้าชื่อผู้อาวุโสไม่ได้เป็นอันขาด ถือว่าขาดความเคารพ ยกเว้นคำว่า “ อี่ ” คนยวนนำคำนี้มาเรียกพ่อแม่ได้ เช่น อี่พ่อ (อี่ป้อ) อี่แม่ ไม่ถือว่าขาดความเคารพแต่อย่างใด

ชายเมื่อมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก็จะบวชเป็นภิกษุ ถือว่าเป็นงานสำคัญของพ่อแม่และเป็นงานสำคัญของผู้บวชด้วย พิธีการบวชจะเริ่มจากไปพบพระอุปัชฌาย์ให้กำหนดวันบวช นิมนต์พระอื่นเพิ่มเติมตามข้อกำหนดของการบวช และบอกญาติมิตรให้มาร่วมอนุโมทนาด้วย

ก่อนจะถึงวันบวช ผู้จะบวชต้องไปอยู่วัดประมาณ 7 – 9 วัน เพื่อฝึกขานนาค ฝึกปรนนิบัติพระให้รู้ธรรมเนียมของชีวิตการเป็นภิกษุ ทั้งเป็นการปลอดภัยสำหรับผู้ที่จะบวชด้วย เมื่อวันงานจึงมาที่บ้าน

ตามปรกติงานบวชจะมี 3 วัน วันแรกเรียกว่าวันดาปอย (ดา – เตรียม ปอย – งาน) วันนี้ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านจะมาช่วยเตรียมงาน เช่น ทำขนม ขนมที่ต้องทำไว้ให้มากคือ ข้าวต้มผัด ยวนเรียกว่า “ เข้าต้มป๊าว ” และช่วยกันตกแต่งบ้าน สถานที่ วันที่สองเรียกว่าวันสุกดิบ วันนี้ญาติมิตรจะมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วย (ยวนเรียก ฮอมปอย – ช่วยงาน) ผู้มาช่วยงานจะเอาข้าวสารใส่ขันประมาณครึ่งขัน พร้อมกับเอาเงินใส่ซองมามอบให้เจ้าภาพ เจ้าภาพเทข้าวสารออกจากขันแล้วก็จะเอาขนมที่เตรียมไว้ เช่น ข้าวต้มผัดใส่ขันคืนไป จากนั้นก็เลี้ยงอาหาร กันเรื่อยไป ตอนบ่ายก็มีพิธีทำขวัญนาค น่าสังเกตว่าไทยวนสระบุรีจะไม่มีการทำขวัญนาคด้วยภาษายวน แต่นิยมทำขวัญนาคแบบไทยภาคกลางทั่วไป ในช่วงค่ำคืนนี้หากเจ้าภาพมีฐานะดีก็จะมีมหรสพสมโภชนาคของตน รุ่งเช้าก็จะนำนาคไปวัด อาจให้นาคขี่ช้างหรือขี่ม้าหรือขี่คอคนแห่ไปเป็นที่สนุกสนาน เมื่อทำพิธีอุปสมบทเสร็จแล้ว ญาติก็จะนั่งเป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากัน เว้นช่องกลางให้พระใหม่เดินผ่าน ญาติจะเอาดอกไม้ ธูปเทียน เงิน ใส่ถุงย่ามให้พระบวชใหม่ถือว่าได้บุญมาก ปูผ้าให้พระใหม่เหยียบถือว่าเป็นผ้ามงคล หรือนอนคว่ำให้พระใหม่เดินเหยียบถือว่าได้บุญ จากนั้นก็ถวายอาหารแด่พระสงฆ์ เลี้ยงอาหารญาติพี่น้อง แล้วมีเทศน์อานิสงส์เป็นอันเสร็จพิธีการอุปสมบท

ปัจจุบันการบวชนิยมจัดงานวันเดียว คือเข้าทำขวัญนาคหรือนิมนต์พระมาเทศน์สอนนาคแทนการทำขวัญ จากนั้นก็นำนาคเข้าสู่อุโบสถทำพิธีอุปสมบท เมื่ออุปสมบทเสร็จก็ถวายเพลแด่พระสงฆ์พร้อมกับเลี้ยงอาหาร (นิยมโต๊ะจีน อาหารจีน) แก่ญาติมิตรที่มาร่วมงาน เป็นอันเสร็จพิธี

สมัยก่อนภิกษุนิยมบวชอยู่อย่างน้อยสอง พรรษา จึงลาสิกขา ไทยวนเมื่อลาสิกขาแล้วจะได้นามว่า “ หนาน ” นำหน้าชื่อของตน เช่น หนานแก้ว หนานปั๋น ฯลฯ หากขณะที่อุปสมบทอยู่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส คนยวนเรียก “ ตุ๊หลวง ” เมื่อลาสิกขาแล้วจะได้นามว่า “ หลวง ” ติดมาด้วย เช่น หลวงเยีย หลวงเหมือย เป็นต้น

เมื่อลาสิกขาแล้วจะอยู่ที่วัน 3 – 7 วัน เพื่อทำความสะอาดวัด ตอนบ่ายหนานสึกใหม่จะนุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อเชิ้ต พาดผ้าขาวม้าไหม มือข้างหนึ่งถือไม้ตะพดเลี่ยม มือข้างหนึ่งถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอพรจากผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เช้าวันที่จะออกจากวัดนิยมให้หลานสาวหรือน้องสาว (ถ้าไม่มีก็ขอวานสาวอื่น) มารับออกจากวัด ถือเป็นเคล็ดว่าจักได้แต่งงานในไม่ช้า
ชายเมื่อลาสิกขาออกมาเป็นหนานแล้วก็จะ หาช่องทางแต่งงาน เมื่อผูกรักสมัครใจกับหญิงใดหรือญาติแนะนำให้แต่งงานกับผู้ใด ก็จะส่งเถ้าแก่ไปทาบทามกับผู้ปกครองฝ่ายหญิง เมื่อได้รับคำตกลงด้วยก็จะกำหนดค่าสินสอดทองหมั้น กำหนดวันแต่ง โดยทำพิธีหมั้นก่อน จากนั้นถึงวันแต่งงานก็จะยกขันหมากไปแต่ง พิธีการแต่งงานของไทยวนสระบุรีจะเป็นแบบไทยภาคกลางทั่วไป จักไม่นำมาในรายละเอียด ณ ที่นี้ จักข้ามไปยังประเพณีงานศพต่อไป

คนยวนไม่นิยมตั้งศพผู้ ที่ตายนอกบ้านไว้ในบ้าน แต่จะนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัด แม้จะตายภายในเขตบ้านแต่ไม่ได้ตายบนเรือน ก็นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเช่นกัน

คนยวนก็เหมือนคนไทยถิ่น อื่น คือมีน้ำใจต่อกันช่วยเหลือกัน เมื่อมีคนตายเกิดขึ้นในหมู่บ้านผู้ใดทราบเป็นคนแรกก็จะรีบไปบอกเพื่อนบ้าน ให้รู้ ผู้ที่รู้แม้จะมีงานอยู่ในมือก็จะละงานนั้น รีบมายังบ้านศพทันที แต่ละคนจะรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ผู้ชายกลุ่มหนึ่งก็จะไปหาอาหารเพื่อเตรียมทำกับข้าวเลี้ยงกัน ผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็จะเข้าครัวเอาของใช้ออกมาเตรียมล้างเพื่อใช้ต่อไป ผู้ที่เหลือก็จะเตรียมอาบน้ำศพโดยต้มน้ำร้อนเอาใบไม้อะไรก็ได้ใส่ลงไปด้วย เช็ดตัวศพด้วยน้ำเย็นและน้ำร้อนจนสะอาด ประแป้งพอสมควร แต่งตัวศพด้วยเสื้อผ้าที่ผู้ตายรักแต่กลับข้างหน้าไว้หลังกลับหลังไว้หน้า ฉีกเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นก็มัดตราสัง คนยวนเรียกว่า “ ห้างลอย ” คือเอาด้ายเส้นใหญ่มาผูกที่คอ (ปุตฺตํ คีเว) ผูกที่ข้อมือ (ธนํ หตฺเถ) ผู้ที่ข้อเท้า (ภริยํ ปาเท) เอาดอกไม้ธูปเทียนใส่กรวยใบตองใส่มือศพเพื่อให้ไปไหว้พระเกศแก้วจุฬามณี จากนั้นก็คอยเวลาที่จะนำใส่โลงต่อไป

โลงศพ (หีบศพ) คนยวนเรียกว่า “ หล้อง ” ทำด้วยไม้ปากโลงศพจะผายออก คือกว้างกว่าก้นหีบฝาที่ครอบหีบศพเรียกว่า “ แมว ” ทำคล้ายหลังคาเรือนทรงปั้นหยา คือมีหลังลาดลงมา ประด้วยกระดาษสีสวยงาม อาจติดธนบัตรบนแผงยอดหลังคานี้ด้วยก็ได้

เมื่อทำโลงศพเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสก็จะทำน้ำมนต์ธรณีสารประพรมที่เครื่องมือ ประพรมผู้คนที่ช่วยกันทำ เพื่อกันเสนียดจัญไร รวมทั้งประพรมหีบศพ คาถาทำน้ำมนต์ธรณีสารของปู่หลวงเหมือย ปัญญาไว บ้านต้นตาล มีว่า “ สิโร เม พุทฺธเทวญฺจ นราเก พฺรหฺมเทวตา หรติเย พิสฺสนูกญเจว ปสิทฺธิ เม ” จากนั้นก็นำศพเข้าโลง ถ้าเป็นศพของพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ จะตั้งไว้ทางทิศเหนือของตัวเรือน หัวศพจะหันไปทิศตะวันตกเสมอ จุดตะเกียง 1 ดวง ไว้ใกล้หีบศพ (ล้านนาเรียกว่า “ ไฟยาม ” )ตอนเช้าจะนำสำรับอาหารมาวางใกล้หีบศพทุกเช้าไป

กลางคืนจะนิมนต์พระสงฆ์ มาสวดพระอภิธรรม เมื่อพระสงฆ์สวดจบแต่ละบทก็จะตีฆ้องสลับระหว่างบทเรื่อยไปญาติมิตรก็จะมา ร่วมฟังพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมทุกคืนไป เรียกงานศพว่า “ งันเฮือนดี ” รุ่งเช้าก็นิมนต์พระสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่หน้าศพ เรียกว่า “ ตักบาตรตีนไม้ ” (ไม้ ล้านนาแปลว่า เมรุลอย)

ถ้าเป็นศพที่ตายโหง ตายพราย หรือตายเพราะถูกฟ้าผ่า จะนำศพไปฝังทันที เมื่อครบสามปีแล้วขึงขุดขึ้นมาบำเพ็ญกุศลเพื่อเตรียมเผาต่อไป

วันเผาศพนั้น คนยวนมีข้อนิยมดังนี้

1. ข้างขึ้นห้ามเผาวันคู่ ข้ามแรมห้ามเผาวันคี่

2. วันในสัปดาห์ ท่านห้ามเผาศพวันพระ เพราะวันเช่นนี้เป็นวันบำเพ็ญกุศล เผาศพวันนี้ไฟอาจไหม้สัตว์ตายเป็นบาปได้ ไม่เผาศพวันพฤหัสบดี ด้วยถือว่าวันนี้เป็นวันครู ไม่เผาศพวันศุกร์ ถือว่า “ เผาศพวันศุกร์ให้ทุกข์แก่คนเป็น ” เพราะเทียบเสียงศุกร์ว่าสุข ตายวันเสาร์ห้ามเผาวันอังคารและห้ามเผาวันที่ตรงกับวันเกิดของผู้ตาย เมื่อถึงวันที่นำศพไปเผา ก็จะนำศพไปวัดหรือป่าช้า (ยวนเรียก ป่าเฮี่ยว) เมื่อศพพ้นประตูเรือนผู้อยู่บนเรือนก็จะเทน้ำออกจากตุ่ม (ในล้านนามีการโยนหม้อน้ำทิ้ง) มีชายโปรยข้าวตอกนำหน้าศพ มีคนถือตุง (ธง) สามหางนำหน้าด้วย พระสงฆ์จะเป็นผู้จูงศพไป นำศพไปตั้งไว้ที่อันควร เช่น บนศาลาแล้วนิมนต์พระสงฆ์มาแสดงธรรมจบแล้วพระสงฆ์มาติกาบังสุกุลแล้วเคลื่อน ศพไปยังเมรุที่เตรียมไว้

ชาวไทยวนได้ชื่อว่ามี ฝีมือในการเมรุ โดยเอาหยวกกล้วยมาแทงสลักลวดลายต่าง ๆ อย่างสวยงาม เมื่อนำศพมาเวียนซ้ายเมรุครบสามรอบแล้วก็จะวางศพลงให้ญาติมาประพรมน้ำศพอีก ครั้งหนึ่งนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณาผ้าบังสุกุลแล้วจึงนำศพขึ้นสู่เมรุ สัปเหร่อจะตัดด้ายตราสังออก ผ่ามะพร้าวเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ พลิกศพให้ตะแคง จากนั้นจึงเริ่มวางไฟ ทุกคนก็วางไฟ พระสงฆ์เริ่มสวดหน้าไฟ ก่อนกลับทุกคนต้องล้างมือด้วยน้ำที่มีมะกรูดส้มป่อยเพื่อล้างสิ่งที่ไม่ดี ออก สัปเหร่อและญาติจะช่วยดูแลให้ไฟไหม้ศพให้เรียบร้อยก่อนจึงกลับได้

สมัยก่อนเผาศพแล้วสามวัน จึงเก็บกระดูกไปบำเพ็ญกุศล เรียกว่า “ ฟื้นเฝ่า ” โดยนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูปมาทำพิธีญาติจะเกลี่ยเถ้าและกองกระดูกให้เป็นรูปคน พระสงฆ์จะสวดบทบังสุกุลตาย (อนิจฺจา วต สงฺขารา) จบแล้วญาติเกลี่ยเถ้าและกระดูกกลับทิศทาง พระสงฆ์จะสวดบทบังสุกุลเป็น (อนิรํ วต ยํ กาโย) จบแล้วก็เลือกเก็บกระดูกใส่ภาชนะนำมาบำเพ็ญกุศลที่บ้าน

ที่บ้านผู้ตาย จะปลูกศาลเพียงตาสี่เสาไม่สูงนัก ทำร้านบนศาล มีบันไดขั้นคู่พาดขึ้นศาลนี้ ปักร่มที่ศาล วางภาชนะที่ใส่กระดูกผู้ตายบนศาลนี้ มีเสื้อผ้าของผู้ตาย กระจก หวี น้ำมัน แป้ง วางถาดใส่ขี้เถ้าไว้ด้วย นำสายสิญจน์มาวงรอบนำขึ้นสู่เรือน เย็นนี้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์

รุ่งเช้านิมนต์พระสงฆ์ ดังกล่าวมารับอาหารบิณฑบาตที่บ้าน เมื่อเจ้าภาพเตรียมอาหารไว้หน้าพระสงฆ์แล้ว จะมีผู้นำกล่าวคำถวายสังฆทานเพื่ออุทิศกุศลให้ผู้ตายเรียกว่า “ เวนทาน ” เป็นคำกล่าวด้วยภาษายวนที่ยืดยาวพรรณนาไพเราะมาก จากนั้นก็ประเคนอาหารแด่พระสงฆ์ เมื่อพระฉันเสร็จลากลับ จากนั้นก็เลี้ยงญาติที่มาร่วมงาน แล้วมีพระธรรมเทศนาอานิสงส์ 1 กัณฑ์ เป็นเสร็จพิธี

หลังจากนั้น ในวันหรือปีต่อ ๆ มา หากประสงค์จะทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตายอีก ก็จะทำได้หลายวิธี เช่น

ทานขันเข้า จะ นำอาหารใส่สำรับ มีน้ำ 1 แก้ว ไปประเคนพระสงฆ์ บอกท่านว่าต้องการอุทิศบุญนี้ไปให้แก่ผู้ใด พระสงฆ์ท่านจะกรวดน้ำกล่าวคำอุทิศเป็นภาษายวนให้ เป็นถ้อยคำที่ไพเราะ ฟังแล้วจะรู้สึกว่าวิญญาณของผู้ตายจะมารับผลบุญนั้นจริง ๆ

พอยข้าวสังฆ์ (อ่าน “ ปอยเข้าสัง ” ) อันนี้เป็นงานใหญ่ โดยเข้าภาพจะบอกญาติมิตรมาร่วมงานนี้ด้วย พิธีจะเริ่มจากนิมนต์พระสงฆ์ 25 รูปมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น รุ่งเช้ามารับถวายอาหารบิณฑบาตที่บ้านงาน เจ้าภาพจะจัดของใส่ชะลอม (ก๋วย) ถวายพระด้วย เลี้ยงอาหารญาติที่มาร่วมงานแล้วมีเทศน์อานิสงส์ 1 กัณฑ์

ปัจจุบันงานปอยข้าวสังฆ์ นิยมถวายหนังสือเทศน์ เช่น พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ หรือยอดไถลปิฎกะและกรรมวาจา ถวายปราสาทผึ้งร่วมด้วย จุดประสงค์ของงานปอยข้าวสังฆ์ก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ตาย เป็นการตอบแทนพระคุณของบุพการี

โปรดสังเกตว่าทุกงานจะจบ ลงด้วยการมีเทศน์อานิสงส์ ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าภาพเกิดความปีติเพิ่มพูนว่าจนบำเพ็ญกุศลแล้วจะได้รับผล อย่างใดบ้าง

ปราสาทผึ้งจะเป็นส่วนประกอบของงานบุญต่าง ๆ เช่น งานกฐิน ก็นิยมทำปราสาทผึ้งร่วมถวายด้วย

4. ประเพณีอื่น ๆ

การถวายสลากภัตต์ (ไทยวนล้านนาเรียกว่า ทานก๋วย ทานกวยสลาก ) ไทยวนสระบุรีเรียกว่า บุญกินเข้าสลาก บุญนี้ไม่มีกำหนดตายตัวในวันทำ คือจะทำเมื่อใดก็ได้ แต่ส่วนมากนิยมทำเมื่อมีผลไม้สุกมาก ๆ หรือทำเมื่อออกพรรษาแล้ว

งานนี้จะเริ่มเมื่อทางวัดตกลงกำหนดวัน ถวายแล้วก็จะประกาศรับสมัครเจ้าภาพ เมื่อรู้จำนวนเจ้าภาพแน่นอนว่าจะมีกี่กระจาดแล้ว ก็นิมนต์พระสงฆ์ต่างวัด (และในวัด) ให้ครบตามจำนวนสลากภัตที่มีเข้าภาพรับไว้ เจ้าภาพจะเตรียมจัดทำกระจาด โดยเอาไม้ไผ่มาสนเป็นกระจาดกลมลายเฉลวมีกระดาษประดับสวยงาม ภายในกระจาดก็หาของกินของใช้อันควรแก่สมรบริโภคมาใส่ไว้ ส่วนเข้าภาพที่มีทรัพย์มากและมีฝีมือก็จะทำกระจาดของตนให้สวยงามขึ้นไปอีก โดยปักไม้กลางกระจาด ตกแต่งให้เป็นช่อชั้นสวยงาม

เมื่อถึงวันงานก็นำกระจาดเหล่านี้ไปตั้ง บนร้านที่ทางวัดเตรียมไว้ เจ้าภาพก็ขึ้นไปบนศาลาพระสงฆ์ที่ได้รับอาราธนามาก็จะนั่งบนอาสนสงฆ์ มีเทศน์อานิสงส์สลากภัต สมัยก่อนนิยมเอาเด็กที่อ่านหนังสือยวนออกหัดเทศน์ แล้วบวชเณรเทศน์วันนี้ (เทศน์จบบ่ายก็สึก) เมื่อเทศน์จบก็จะกล่าวคำถวายสลากภัต ให้พระสงฆ์จับสลากแล้วก็จะอนุโมทนา จากนั้นก็ลงจากศาลามารับประเคนสลากภัตที่จับสลากได้ บรรดาศิษย์ที่ติดตามพระสงฆ์มา ก็จะช่วยขนกลับยังวัดของตน

ที่จริงสลากภัตเป็นบุญที่คนไทยทำกันทั่ว ไป แต่จุดเด่นของงานสลากภัตไทยวนสระบุรี อยู่ตรงที่ฝีมือในการตกแต่งประดับประดาต้นสลากภัตของตนให้สวยงาม ดูจะเป็นการประกวดกันไปในตัว

ประเพณีตรุษ – สงกรานต์ เมื่อถึงเทศกาลนี้ไทยวนสระบุรี นิยมทำกิจกรรม 3 ประการ คือ ทำบุญ แทนคุณ และเล่นสนุก

ทำบุญ ทุกเช้าชาวบ้าน จะนำอาหารไปตักบาตรทำบุญที่วัดทุกวันจนสิ้นวันตรุษ – สงกรานต์ ก่อนวันสรงน้ำพระ จะมีการก่อพระเจดีย์ทราย วันต่อไปจะมีการสรงน้ำพระ ถือว่าเป็นวันสุดท้ายของาน

แทนคุณ ในเทศกาลเช่น นี้ จะนำอาหาร เสื้อผ้า ไปมอบแก่ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รดน้ำดำหัว ขอขมา และขอพรจากท่าน นิมนต์พระมาสวดบังสุกุลอัฐิบรรพบุรุษของตน

เล่นสนุก สมัยก่อน กลางวันนิยมเล่นรำวงกันที่วัด โดยตีกลองรำมะนาเสียงดังกระหึ่ม หนุ่มสาวจะเล่นรำวงกันสนุกสนาน ตกเย็นก็จะนัดเล่นรวมกันที่บ้านใดบ้านหนึ่งโดยหาฟืนมาติดไฟให้สว่าง อาจเล่นรำวง หรือเล่นเข้านางแมว นางกระด้ง นางหมอน จนดึกจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน รุ่งเช้าสาย ๆ ก็พบกันที่ลานวัดอีก ปัจจุบันการเล่นสงกรานต์นิยมเล่นกันในวันสรงน้ำพระเพียงวันเดียว

ประเพณีตีกลองประจำวัด แต่ ละวัดจะมีกลองอยู่สองชุด ชุดหนึ่งคือกลองทัด 1 คู่ ชาวบ้านเรียกว่ากลองเพล จะตีสามบอกเวลาเพล และจะตีกลองนี้อีกครั้งหนึ่งเมื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จโดยตีรัวสามลา ตีระฆังประกอบด้วย เมือตีจบก็จะตีบอกวัน ถ้าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ก็จะตี 1 ตูม วันจันทร์ก็ตี 2 ตูม ฯลฯ สมัยก่อนเมื่อปฏิทินและนาฬิกายังไม่มีแพร่หลาย ชาวบ้านจะรู้จักเวลาก็โดยอาศัยฟังเสียงกลองที่ตีในวัด กลองอีกชุดหนึ่งประกอบด้วยกลองใหญ่ 1 ใบ ชาวบ้านเรียกว่า กลองเทิ่ง เพราะเสียงดังเทิ่ง อีกสอบใบเป็นกลองขนาดเล็กผูกติดกับกลองใหญ่ เรียกตามเสียงเช่นกันว่า กลองตุ๊บ และกลองต๊ะ กลองคู่นี้วันธรรมดาจะตีประมาณ 5 โมงเย็น ตี ตุ๊บ – เทิ่ง ช้าเร็วสลับกันไป บอกเวลาว่าเย็น 5 โมงแล้ว พระ – เณร ในวัดก็จะเตรียมสรงน้ำเพื่อเตรียมทำวัตรสวดมนต์ต่อไป ชาวนาที่อยู่กลางทุ่งนาก็จะเตรียมเข้าบ้าน หากมีแขกก็จะปล่อยแขกกลับบ้าน กลองตุ๊บเทิ่งนี้จะตีอย่างไพเราะเป็นพิเศษในคืนวันโกนและคืนวันพระ มีการตีฆ้องสลับร่วมด้วย ผู้ที่ตีเก่ง ๆ จะสามารถตีให้มีท่วงทำนองไม่ซ้ำกันเลย เช่น ตุ๊บ-ต๊ะ-ตุ๊บ-เทิ่ง-ตุ๊บ-หมุ่ย (หมุ่ยคือเสียงฆ้อง) เทิ่ง-ตุ๊บ-เทิ่ง-ตุ๊บ-เทิ่ง-ตุ๊บ-หม่ย ฯลฯ บางทีก็มีผู้แปลทำนองกลองออกมาว่า “ สาวเก็บเห็ด แม่ฮ้างเก็บกุ้ง เก็บใส่ไหน เก็บใส่ท้องบุ้ง ” เล่ากันว่าวัดบ้านยวนแห่งหนึ่ง มีพระสงฆ์ชื่อพระทะ พระเที่ยง และพระตุ้ย คนยวนเรียกพระว่า “ ตุ๊ ” เวลาตีกลองใหญ่เป็นทำนองเด็กวันก็จะแปลเสียงกลองเป็นเสียงพูดว่า “ ตุ๊ทะ ตุ๊ทะ ตุ๊เที่ยง ตุ๊เที่ยง ตุ๊เที่ยง ตุ๊ตุ้ย ” คำว่า “ ตุ้ย ” จะลงพร้อมกับเสียงฆ้องพอดี

  • ความเชื่อเรื่องผี คนไทยวนสระบุรีก็เหมือนคนถิ่นอื่นที่เชื่อว่า คนที่ตายไปแล้ว ยังมีวิญญาณล่องลอยอยู่ ผีเหล่านี้อาจให้คุณให้โทษต่อคนได้ ผีที่คนยวนเชื่อมีประเภทดังนี้

ผีเรือน หรือผีกระจำ ตระกูล หรือผีบรรพบุรุษ คนยวนเรียกว่าผีปู่ย่า โดยคนยวน 1 ตระกูลจะมีศาลผี (หิ้งผี) อยู่ที่บ้านญาติคนใดคนหนึ่ง เมื่อลูกหลานในตระกูลนี้แต่งงานก็จะพากันมาไหว้ผีปู่ย่าที่บ้านนี้ หรือเทศกาลสงกรานต์ก็จะมีบรรดาญาติในตระกูลนี้มาไหว้ผีรวมกัน เชื่อกันว่าหากไหว้ดีพลีถูกผีปู่ย่าก็จะอำนวยอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็น สุข แต่ถ้าห่างเหินหรือปฏิบัติผิด ผีปู่ย่าก็จะลงโทษเอา เช่น ให้เจ็บป่วยบ้าง ให้เดือดเนื้อร้อนใจบ้าง ให้ประสบอุบัติเหตุบ้าง

ผีประจำหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านจะมีศาลผีประจำอยู่ บางหมู่บ้านจะมีมากกว่าหนึ่งศาลก็มี ที่บ้านไผ่ล้อม อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี จะมีศาลเจ้าชื่อ “ ปู่เจ้าเขียวเปลวโปร่งฟ้า ” เล่ากันว่าเดิมท่านอยู่ที่เชียงดาว เชียงใหม่ คราวที่คนยวนอพยพมาอยู่เสาไห้ สระบุรี ผู้คนขอให้ท่านเดินทางมาด้วยเพื่อคุ้มครองลูกหลานยวนอพยพคราวนั้น และก็ปลูกศาลให้ท่านอยู่ แต่ท่านจะกลับไปอยู่ที่เชียวดาว เมื่อถึงวันปีใหม่ สงกรานต์ก็จะมาเยี่ยมลูกหลานยวน เสาไห้ สระบุรี ทุกปี

ผีประจำวัด เรียกว่า เสื้อวัด ทุกวัดจะมีศาลผีนี้อยู่ บางวัดก็มีมากกว่าหนึ่งศาล มีความศักดิ์สิทธิ์เล่าขานแตกต่างกันไป เวลามีงานวัดจะต้องจุดธูปบอกเล่าท่านก่อน และมีอาหารเซ่นท่านด้วย

ผีประจำท้องนา คนยวนเรียกว่าเสื้อนา ความเชื่อเรื่องนี้มีมานานมาก ดังปรากฏในหนังสือ กฎหมายมังรายศาสตร์ ฉบับวัดเสาไห้ กล่าว ไว้ตอนหนึ่งว่า “ ผู้ใดขี้ใส่ข้าวแรกท่านตั้งแต่ตอนหว่านกล้าไปจนถึงตอนจะย้ายไปปลูก จะเก็บเกี่ยวให้มันหาเหล้า 2 ไห ไก่ 2 คู่ เทียน 2 เล่ม ข้าวตอกดอกไม้ มาบูชาขวัญข้าวและเสื้อนา ผิเพียงแต่เยี่ยว ไม่ได้ขี้ ให้มันหาไก่คู่หนึ่ง เหล่าขวดหนึ่ง เทียนคู่หนึ่ง ข้าวตอกดอกไม้ บูชาเสื้อนา.. ” ความเชื่อเรื่องเสื้อนานี้ เมื่อถึงเดือนหก แม่บ้านจะทำขนมบัวลอยไปวางเซ่นที่นาเพื่อเลี้ยงเสื้อนาของตนทุกปี

ผีที่มีอยู่ในตัวคน ผี เช่นนี้จะมีอยู่ในบางคนเท่านั้น เช่น ผีปอบ การที่จะรู้ว่าใครเป็นปอบนั้น จะรู้ได้เมื่อผีนี้เข้าสิงใคร ผู้นั้นจะร้องโหยหวน หมอไล่ผีจะขู่ถามว่า “ มึงคือใคร มาจากไหน ” เมื่อมันยอมต่ออำนาจของหมอไล่ผี มันก็จะบอกชื่อและที่อยู่ของมัน ก็จะรู้ว่าผู้นั้นเป็นปอบ สาเหตุที่เป็นปอบมีเล่าไว้ต่างกัน เช่น สืบทอดมาทางเชื้อพันธุ์ หรือเป็นนักเล่นของขลัง แต่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ของขลังนั้นจะกลายเป็นผีมาสิงสู่อยู่ในตัวของผู้นั้น เป็นต้น

ผีที่มาตามคำขอ
ผี ประเภทนี้จะมาเมื่อขอร้องให้มา และจะไปเมื่อขอร้องให้ไป เช่น ผีประเภทเจ้าพ่อต่าง ๆ จะมาประทับทรงเมื่อคนทรงทำพิธีเชิญให้มาประทับทรง เมื่อแรกนั้นมักจะมาประทังเองโดยไม่ต้องเชิญ ผีอีกประเภทหนึ่ง หนุ่มสาวจะเชิญมาเล่นสนุกด้วยในเทศกาลสงกรานต์ เช่น ผีนางกระด้ง ผีนางแมว ผีนางหมอน เป็นต้น วิธีการเชิญผีประเภทหลังนี้ มักจะให้หญิงสาวเป็นร่างโทรโดยผูกตาหญิงนั้น ประนมมือ เพื่อน ๆ ก็จะร้องเพลงเชิญผี เมื่อผีนั้นมาเข้าร่าง สาวนั้นก็จะมีมือสั่นรัว เพื่อนก็จะแก้ผ้าที่ผูกตาออกให้หญิงนั่งก็จะลุกขึ้นรำอย่างสวยงาม จากนั้นก็จะถามเรื่องเนื้อคู่กันบ้าง ถามเรื่องโชคลางบ้าง เมื่อเห็นพอสมควรต้องการให้ผีนั้นออกไป เพียงร้องที่ริมหูหญิงผู้นั้นเบา ๆ ผีก็จะออกจากร่างนั้นไป
ประเพณีขึ้นท้าวทั้งสี่ ยวน เรียก “ ต๊าวตังสี่) หมายถึงทาวธตรฐ ท้าววิรูปักข์ ท้าววิรุฬหก และท้าวกุเวร ซึ่งเป็นเทวดาประจำทั้งสี่ทิศ (ท้าวจตุโลกบาล) ก่อนจะมีงานใดก็จะต้องทำพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่เสียก่อน โดยเลือกสถานที่เหมาะสมเอาไม้ 5 ท่อนมาปักเป็นเสา 4 มุม เสาต้นกลางสูงกว่าเสาอีกสี่ต้น บนเสานี้จะวางกระทงเครื่องเซ่น มีหมาก บุหรี่ ดอกไม้ ธูปเทียน กระทงเสากลางเป็นของพระอินทร์ ผู้รู้พิธีก็จะกล่าวอาราธนาให้เทพทั้ง 5 มารับของเครื่องเซ่น และช่วยปกป้องงานของตนให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

บทสรุป

ไทยวนสระบุรี คือไทยวนที่อพยพไปจากเมืองเชียงแสน เมื่อ พ.ศ. 2347 ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สระบุรีมาจนถึงทุกวันนี้ เอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นไทยวน ก็คือภาษาและประเพณีที่ละม้ายคล้ายคลังกับภาษาและประเพณีของชาวล้านนาไทย และยังเรียกตัวเองว่าเป็นคนยวนมาจนถึงทุกวันนี้