ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
นาฏดุริยการล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เครื่องดนตรี
บทความ นาฏดุริยการล้านนา วันอังคารที่ 4 มกราคม 2548 - เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีของล้านนาประกอบด้วยเครื่องที่บรรเลงด้วยการดีด สี ตี และเป่า เครื่องดีด ได้แก่ ซึงและเพียะ (อ่าน-เปี๊ยะ) เครื่องสี ได้แก่ สะล้อ เครื่องตี ได้แก่ กลองประเภทต่างๆ รวมทั้งเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ เช่น ฉาบ ฉิ่ง และค้อง เป็นต้น ส่วนเครื่องเป่า ได้แก่ ขลุ่ย ปี่ชุม (อ่าน-ปี่จุม) และแน เป็นต้น เครื่องดนตรีดังกล่าว บางอย่างคงไม่ต้องกล่าวถึงรายละเอียดเช่น ฉาบ ฉิ่ง แต่บางอย่างมีรายละเอียดที่น่าศึกษา ดังจะได้นำเสนอ ต่อไปนี้ ซึง เป็น เครื่องดนตรีพื้นบ้านล้านนาที่มีลักษณะเรียบง่าย ชาวบ้านสามารถทำเล่นเองได้และในปัจจุบันก็ยังเป็นเครื่องดนตรีที่มีจำหน่าย อย่างแพร่หลายอีกด้วย ซึงมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับ พิณ หรือ ซึง ของภาคอีสาน ในบางท้องที่เรียกเครื่องดนตรีนี้ว่า พิณ (อ่าน “ปิน”) แต่ในวรรณกรรมบางเรื่องและโครงนิราศหริภุญชัยเรียก “ติ่ง” รูปลักษณะของซึงนั้น หากเปรียบเทียบกับเครื่องดนตรีของชาติอื่นๆ ก็จะพบว่าคล้ายกับกระจับปี่ของจีน หรือคล้ายกับกีตาร์ หรือแมนโดลินอันเป็นเครื่องดนตรีสากลด้วย ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญดังนี้
- โรงเสียง (อ่าน “โฮงเสียง”) คือ ต้นกำเนิดเสียงซึ่งมีลักษณะเป็นไม้กลวงข้างใน นิยมใช้ไม้เนื้ออ่อน หรือไม้สักทั้งท่อนทำ เพราะอาจขูดเนื้อไม้ทำเป็นกล่องเสียงได้ง่าย โดยคว้านข้างในให้กลวงเป็นรูปวงรี เหลือขอบโดยรอบกับพื้นกล่องเสียงซึ่ง ไม่หนามากนัก ความหนาของกล่องเสียงขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่จะใช้ทำ และขนาดของซึงที่ต้องการ เท่าที่พบโดยทั่วไปหนาประมาณ 2 - 3 นิ้ว
- ตาดซึง คือ แผ่นไม้บางปิดหน้าโรงเสียง เจาะรูกว้างพอประมาณบริเวณใกล้ศูนย์กลางค่อนไปทางคอเล็กน้อย เพื่อเป็นทางออกของเสียง
- ฅอซึง มี ลักษณะเป็นคันยาวยื่นต่อจากตัวกล่องเสียง อาจเป็นไม้ท่อนเดียวกันกับที่ใช้ทำกล่องเสียง หรือทำแยกส่วนเป็นคนละชิ้นก็ได้ ถ้าไม่ได้ใช้ชิ้นเดียวกันกับที่ทำตัวกล่องเสียงแล้ว ส่วนนี้ จะนิยมทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เพื่อให้ทนทานและเสียงที่ดังออกมาไพเราะ
- ลูกซึง เป็นแท่งไม้เล็ก ๆ ติดเป็นระยะ ๆ ภาคกลางเรียน “นม” ภาษาสากลเรียก Bar ลูกซึงนี้เป็นตำแหน่งสำหรับกดบังคับเสียงตามบันไดทางเสียง ติดเป็นระยะเรียงตามความยาวของคอซึง จนใกล้ถึงตัวกล่องเสียง จำนวนลูกซึ่งไม่แน่นอน แต่มาตรฐานทั่วไปนิยม ติด 9 อัน โดยจัดเว้นระยะตามบันไดเสียงที่ได้
- สายซึง เป็นเส้นทองเหลือง ซึ่งแต่เดิมนั้น นิยมใช้สายห้ามล้อจักรยานมาทำ ปัจจุบันอาจพบว่ามีการนำสายกีตาร์มาใช้แทน ซึงมี 4 สาย แยกกันเป็น 2 คู่ (เวลาดีดจะดีดทีละคู่) ขึงจาก ค๊อบ (อ่าน “ก๊อบ”) รองสายโดยขึงผ่านกลางกล่องเสียงไปยังลูกบิด การดีดมักใช้เขาสัตว์หรือพลาสติกทำเป็นชิ้นบาง และขนาดไม่ใหญ่นักสำหรับดีดสายซึง โดยดีดตรงบริเวณที่สายขึงอยู่ใกล้กับรูที่เจาะไว้ มืออีกข้างหนึ่งจับคอซึงและใช้นิ้วกดสายลงให้แนบกับลูกซึง เพื่อให้เกิดเสียงตามที่ต้องการ
- ค็อบซึง (อ่าน “ก๊อบซึง”) คือ หย่องที่เป็นไม้หมอนซึ่งเป็นไม้ท่อนเล็ก อยู่ระหว่างช่องระบายเสียงกับส่วนที่อยู่เกือบล่างสุดของขอบตัวกล่องเสียง
- หลักซึง คือ ลูกบิดสำหรับตั้งหรือบังคับสายซึงให้ตึงหรือหย่อน เพื่อใให้ได้เสียงตามต้องการ
- หัวซึง คือ ส่วนปลายสุดของซึง
ประเภทของซึง โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ แบ่งตามขนาดและแบ่งตามการตั้งเสียง
1. แบ่งตามขนาด นิยมแบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
* ซึงใหญ่ ความกว้างของกล่องเสียงประมาณ 12 นิ้ว หนาประมาณ 3 นิ้ว ยาวประมาณ 18 นิ้ว
* ซึงกลาง ความกว้างของกล่องเสียงประมาณ 10 นิ้ว หนาประมาณ 2.5 นิ้ว ยาวประมาณ 15 นิ้ว
* ซึงเล็ก ความกว้างของกล่องเสียงประมาณ 8 นิ้ว หนาประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 12 นิ้ว
* ซึงตัด ความกว้างของกล่องเสียงประมาณ 6 นิ้ว หนาประมาณ 1.5 นิ้ว ยาประมาณ 10 นิ้ว
2. แบ่งตามการตั้งเสียง แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
* ซึงลูกสาม ตั้งเสียง โด - ซอล โดยตั้งสายทุ้มเป็นเสียงโด ตั้งสายเอกเป็นเสียง ซอล ซึงลูกสามมักจะเป็นซึงใหญ่และซึงเล็ก
* ซึงลูกสี่ ตั้งเสียง ซอล - โด โดยตั้งสายทุ้มเป็นเสียง ซอล ตั้งสายเอกเป็นเสียงโด ซึงลูกสี่มักจะเป็นซึงกลาง และซึงตัด ซึ่งมีขนาดเล็กสุด
เรื่องของซึงยังมีรายละเอียดที่จะต้องกล่าวถึงอีก อังคารหน้าจะได้นำเสนอกันต่อไป
สนั่น ธรรมธิ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพลายเส้นโดย ไกรวุฒิ วังชัย)
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต้นฉบับ : http://art-culture.chiangmai.ac.th/academic/natha/2548/01/04/