ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
นาฏดุริยการล้านนา - กลองหลวง (5) การตีกลองหลวง, การติดขี้จ่ากลองหลวง, การบำรุงรักษา, การประสมวง
นาฏดุริยการล้านนา กลองหลวง (5) - การตีกลองหลวง,การติดขี้จ่ากลองหลวง,การบำรุงรักษา,การประสมวง
การตีกลองหลวง
เนื่องจากกลองหลวงเป็นกลองที่มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นการตีให้เกิดเสียงดังเต็มที่ตามคุณภาพนั้น ต้องเรียนรู้ตำแหน่งที่ควรตี และความหนักหน่วงในการตีด้วย ก่อนการตีกลอง ผู้ตีจะใช้ผ้าซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้เศษจีวร มาพันม้วนเป็นก้อนให้มีลักษณะคล้ายลูกข่าง กำไว้ในอุ้งมือและใช้ปลายผ้าพันยึดติดมือไว้ให้แน่นอีกครั้ง เวลาตีจะใช้ปลายแหลมของผ้าตีกระหน่ำลงหน้ากลอง จุดหรือตำแหน่งที่ตีคือบริเวณใกล้ๆ ที่ติดขี้จ่าหรือถ่วงหน้า ตรงใจกลางกลอง
การติดขี้จ่ากลองหลวง
ตามปกติเสียงกลองหลวงจะไม่ดังกังวานเต็มที่ หากไม่ได้รับการปรับแต่งระดับเสียงด้วยการติดถ่วงหน้ากลอง หรือที่เรียกว่าติด “ขี้จ่า” ซึ่งทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุก หรือเส้นขนมจีนบดผสมกับขี้เถ้า โดยนำข้าวเหนียวนึ่งสุกไปล้างน้ำ แล้วนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นผสมผงขี้เถ้าที่ร่อนละเอียดแล้ว ในอัตราส่วน 2 : 1 โดยประมาณ ขี้เถ้าที่นิยมใช้โดยทั่วไปต้องมีเนื้อละเอียด และมีน้ำหนักเบา โดยได้จากการเผาไหม้ของไม้มะพร้าว รากมะพร้าว กิ่งของต้นโพธิ์ และใบตองแห้ง เป็นต้น
การติดขี้จ่ากลอง อันดับแรกสุดต้องคำนวณหาศูนย์กลางของหน้ากลองก่อน การคำนวณอาจมีหลายวิธี ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ใช้เชือกวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหน้ากลองแล้วแบ่งครึ่ง แล้ววัดจากขอบหน้ากลองเข้ามา จะได้จุดศูนย์กลางของหน้ากลอง จากนั้นจึงเริ่มติดรอบๆ จุดศูนย์กลางแล้วจึงค่อยเพิ่มปริมาณมากขึ้น พร้อมๆ กับทดสอบด้วยการตีเพื่อฟังเสียงว่า ดังตามความต้องการหรือไม่ เมื่อได้เสียงตามความต้องการแล้วเป็นอันว่าใช้ได้ การติดขี้จ่านี้บางแห่งมีไม้แบบวัดขนาดมาตรฐาน ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมและแม่นยำในการติด
การบำรุงรักษากลองหลวง
กลองหลวงจะชำรุดเสียหายง่ายเมื่อถูกความร้อนจากแสงอาทิตย์หรือถูกฝน กลองหลวงจึงต้องเก็บไว้ในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หลังจากใช้งานแล้วต้องขูดขี้จ่าออกจากหน้ากลอง เช็ดให้สะอาดทุกครั้ง ตัวกลองควรทาน้ำยารักษาเนื้อไม้ (บ้างก็แช่ในน้ำมะขามเปียก) และควรดูแลอย่างสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นอาจถูกปลวกหรือมอดทำลายได้
การประสมวงกลองหลวง
โดยปกติวงกลองหลวง มีการประสมวงลักษณะเดียวกันกับวงกลองตึ่งนง กล่าวคือ มีเครื่องตี ได้แก่ กลองหลวง กลองตะหลดปด ฉาบใหญ่ ฆ้องโหย้ง(ฆ้องขนาดกลาง) และฆ้องอุ้ย(ฆ้องขนาดใหญ่) มีเครื่องเป่า ได้แก่ แนหน้อย และแนหลวง ต่อมาเห็นว่าเสียงกลองดังมากจนกลบเสียงฆ้องซึ่งมีเพียง 2 ใบ จึงได้เพิ่มจำนวนฆ้องโหม้งเข้าไปอีก 5 - 7 ใบ
การจัดรูปแบบวงกลองหลวง
โอกาส ที่บรรเลงกลองหลวง กลองหลวงจะนำออกมาใช้งานในแต่ละปีเมื่อหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวไปจนถึง สงกรานต์ คือเริ่มตั้งแต่มกราคม - มิถุนายน การใช้งานจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1. การใช้กลองหลวงในขบวนแห่ เมื่อวัดใดจัดให้มีงาน เช่น งานสรงน้ำพระธาตุ ฉลองพัดเปรียญ ปอยหลวง (งานฉลองสมโภชเสนาสนะ) และแห่พระพุทธรูปสำคัญ เป็นต้น ซึ่งมักมีการจัดขบวนแห่ที่มีกลองหลวงร่วมด้วย และในงานบุญหนึ่งๆ จะมีขบวนแห่ของวัดอื่นๆ ส่งมาร่วมขบวนทำบุญด้วย
2. การใช้กลองหลวงเพื่อการตีแข่งขัน ในงานบุญต่างๆ ดังกล่าว เมื่อขบวนแห่เสร็จสิ้นแล้วในช่วงบ่าย บางวัดมักจัดให้มีการตีกลองหลวงเพื่อแข่งขันกัน ระหว่างกลองที่มาจากวัดต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท้องถิ่นที่นิยมการแข่งขันตีกลองหลวงมากที่สุดจะอยู่ในท้องที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ส่วนที่อื่นจะมีในเขตอำเภอจอมทอง สันป่าตอง แม่เจ่ม สันทรายและสันกำแพง
เรื่องราวของกลองหลวงยังมีต่ออีก พบกันวันจันทร์หน้าครับ
สนั่น ธรรมธิ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพประกอบโดยอนุรักษ์ สมสะ และเสาวณีย์ คำวงค์)
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต้นฉบับ : http://art-culture.chiangmai.ac.th/academic/natha/2548/06/28/