วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
31/10/2008
ที่มา: 
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ http://art-culture.chiangmai.ac.th/

บทความ นาฏดุริยการล้านนา วันอังคารที่  2  พฤษภาคม  2549 - ฟ้อนหริภุณไชย (๑)

    ฟ้อนหริภุณไชย (๑)


    ฟ้อนหริภุญไชย เป็นฟ้อนที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดิเรกชัย  มหัทธนะสิน (ทุย) อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๗ประวัติความเป็นมา                ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดิเรกชัย  มหัทธนะสิน ขณะเป็นครูสอนฟ้อนรำล้านนาของชมรมนาฏศิลปและดนตรีไทย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๕๒๗) ได้คิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนจากเพลงบรรเลงชื่อเพลงหริภุญไชย ซึ่งแต่งโดยนายสุชาติ  กันชัย  (หนุ่ม) นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


แรกเริ่มเดิมที่นั้น นายสุชาติ  กันชัย (ขณะนั้นเป็นสมาชิกของชมรมฯ) ได้คิดทำนองเพลง โดยอาศัยแนวทำนองจากเพลงบรรเลงชื่อเพลงเชียงแสน ซึ่งแต่งโดยครูมนตรี  ตราโมทย์  แล้วออกแบบให้บุคลิกของเพลงให้มีลักษณะผสมผสานกัน ระหว่างความเป็นมอญหริภุญไชยกับความเป็นไทยวนบนแผ่นดินล้านนา โดยใช้ทำนองเพลง (Melody) สำเนียงมอญใช้เครื่องดนตรีสะล้อ – ซึงและจังหวะ (Rhythim) กลองตึ่งนงของล้านนา แล้วมอบให้ดนตรีพื้นเมืองคณะไกลบ้าน ซึ่งสังกัดชมรมนี้

ความไพเราะและสง่างามของเพลง ทำให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ได้สดับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดิเรกชัย ในฐานะครูสอนฟ้อนรำจึงคิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้นประกอบ โดยครั้งแรกได้ประดิษฐ์ประกอบเพลงท่อนแรก (ทำนองเพลงมี  ๒  ท่อน) แล้วนำเสนอในงานวันเปิดโลกกิจกรรม ที่ตึกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ตึก อ. มช.) การนำเสนอผ่านการแสดงของนักศึกษาสมาชิกของชมรมฯ ในครั้งนั้น เป็นที่ชื่นชมแก่ผู้ชมอย่างท่วมท้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดิเรกชัยจึงได้ประดิษฐ์ท่ารำใหม่ ให้ครบสมบูรณ์แล้วแสดงต่อมาในวันไหว้ครูของชมรมฯ ในปี พ.ศ.เดียวกัน

    ลีลาท่าฟ้อน

ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ ได้กำหนดให้ผู้แสดงก้าวเท้าตามจังหวะ โดยเน้นให้มีลีลาการฟ้อนผสมผสานกันถึงสามลีลาได้แก่ ลีลาล้านนา พม่า – มอญและลีลาไทย เมื่อได้ลีลาก็ให้ชื่อท่าจากการหารือร่วมกันจากศิษย์ทั้งสามคือนายพิสันต์  จันทร์ศิลป์ (สัน) นายณรงค์ศักดิ์  ค้านอธรรม (ใหม่) และนายอิศรา  ญาณตาล (กีตาร์) ซึ่งชื่อท่าฟ้อนมี ดังนี้

          “เบิกฟ้า                 ทอดผ้าหริภุญไชย          เกรียงไกรสัตตบงกช
ร่ายอริยศบารมี       กั้งสัตถะหรู (ศัตรู)           ข่มสูหื้ออยู่ใต้ฟ้า
อุบลต้องเกิงกาง      ซาบซ่านบารมี               เบญจกัลยานีศรี –
หลวงเวียง              เพียงนางพญากราย        โผดพายทศพิธ
ราชธรรมวิวิธ          สถิตเหนือปฐพี               ฮ่วมขวัญกษัตริย์
เทวีแปงเมือง          เมลืองวิลังคะพ่าย           ชยะใจสมโภช
นิโรธฮ้องขวัญ        เฮี้ยวหวัน                      ชุมสะหรี    แสงระวี
ส่องหล้า               ไพร่ฟ้าหน้าใส                หริภุญไชยยั่งยืนเทอญ

แต่ละชื่อก็ได้ อาจารย์นภาพร  ขาวสะอาด จากโรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ จังหวัดลำพูน  ช่วยดูแลและปรับปรุงการวางมือวางเท้าศีรษะ ลำตัวตลอดจนการก้าวเท้าให้เหมาะสม โดยภาพรวมแล้วประมวลมาจากภาพลายปูนปั้นของนางฟ้าจากตุ๊กตาไม้แกะสลัก  ธรรมาสน์และลีลาของพม่าและมอญ รวมแล้วได้  ๒๓  ท่ารำ

สำหรับรูปแบบการแสดง จะจัดให้เป็นแถวตรงแถวเฉียง แถวหน้ากระดานและแถววงกลมสลับวนเวียนกับการวิ่งรับให้ดูสวยงาม การฟ้อนจะมีคนรำเป็นนางพญาโดดเด่น ซึ่งสังเกตได้จากการแต่งกายที่สง่างามกว่าคนอื่น ๆ กล่าวคือจะมีเครื่องประดับศีรษะ กรองคอ  พาหุรัตและผ้าสไบปักดิ้นเลื่อนพรายสำหรับจำนวน ผู้ฟ้อน จะประกอบด้วยผู้ฟ้อนอย่างน้อย  ๔  คน

    การแต่งกาย

การแต่งกายมีการออกแบบไว้  ๔  ลักษณะได้แก่ลักษณะแรก นุ่งผ้าซิ่นที่เลียนแบบผ้าซิ่นไทยองเชียงตุง ที่ต่อตีนสูงคล้ายผ้าซิ่นในชุดฟ้อนม่านมุ่ยเชียงตา ที่ใช้สีทองอมชมพู  ท่อนบนสวมเสื้อเถาะอกสีดำมีชายเสื้อพลิ้วเป็นระบาย มีสไบสีชมพูคล้องเฉียงไหล่ซ้ายไปพาดแขนด้านขวา และคาดเข็มขัดแบบห่วงทับเสื้อที่เอว ส่วนศีรษะมีดอกไม้เสียบพองาม ลักษณะที่สอง ผ้าสไบสีชมพูนั้น มีการนำผ้าโปร่งสีทองเย็บทับสีชมพูอีกที ที่แขนมีกำไลสวมมีสร้อยคำ สร้อยตัว และศีรษะมีการเสียบประดับด้วยดอกไม้ไหวสีทอง ลักษณะที่สาม มีการสวมกระบังหน้าเหมือนยุดทวาราวดี (ชุดนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่โรงเรียนห้องสอนศึกษา จังหวัดแม่ฮ่องสอน) ลักษณะที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมาได้ใช้ผ้าซิ่งลายยกดอกสีชมพู ที่ต่อตีนสีขาวเสื้อเกาะอกมีชายเสื้องอนขึ้น สวมทับด้วยเข็มขัดสีทองเหมือนเกล็ดปลา
    
สนั่น   ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพประกอบโดยเนติ  พิเคราะห์ และเสาวณีย์  คำวงค์)


ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่