วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
13/03/2008
ที่มา: 
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11047

 

แสงส่องใจ

มาฆบูชา
วันแห่งความรักอันสูงส่งบริสุทธิ์
ในพระพุทธศาสนา

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
รับสั่งว่า

ถ้าจะถือว่ามีวันแห่งความรัก ก็ต้องถือวันมาฆบูชา
วันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศความรักอันบริสุทธิ์สูงส่ง

วันมาฆบูชา – วันแห่งความรัก

วันที่พระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ ในเดือนสาม

ด้วยทรงมีความรักบริสุทธิ์สูงส่ง ไม่มีเสมอเหมือน พระพุทธองค์จึงทรงแผ่พระมหากรุณาได้กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีขอบเขต ทั้งแก่พรหมเทพ มนุษย์สัตว์ ปรากฏแจ้งชัดใน พระโอวาทปาติโมกข์ ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา

พึงไม่ทำบาปทั้งปวง
พึงทำกุศลให้ถึงพร้อม
พึงรักษาจิตของตนให้ผ่องใส

บาปย่อมก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยแก่ผู้ทำและผู้อื่น
พระพุทธองค์จึงทรงเตือนไม่ให้ทำ

กุศลย่อมเป็นคุณแก่ผู้ทำและผู้อื่น
พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้ทำ

จิตผ่องใสคือจิตไกลได้จากกิเลสโกรธหลง ที่มีอยู่เต็มโลก
ย่อมให้ความสงบสุขอย่างยิ่งจนถึงเป็นบรมสุข
พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้รักษาจิตของตน

ความรักของพระบรมศาสดา
ที่ในวันมาฆบูชาทรงประกาศ
เป็นความรักสัตว์โลกที่สูงสะอาด
กราบละอองพระพุทธบาทเป็นพระพร

(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปิ อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา

“ท่านทั้งหลายต้องทำความเพียรเองตถาคตเป็นแต่ผู้บอก ผู้มีปกติเพ่งพินิจตำเนินไปแล้ว จักพ้นจากเครื่องผูกของมาร”

นี้เป็นพระพุทธภาษิต

O พระพุทธภาษิต คือ พระดำรัสที่เป็นภาษิตของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้เปรียบเสมอผู้มีปัญญาทั้งหลายจึงไม่ละเลยพระพุทธภาษิตจึงให้ความเคารพอย่างสูงสุดด้วยการพยายามปฏิบัติตามที่ทรงมีพระพุทธดำรัสสอนทั้งปวงเพื่อประโยชน์ใหญ่หลวงได้เกิดแก่ชีวิตของตน

O วันมาฆบูชาปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๙ นี้ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ความสำคัญแห่งวันมาฆบูชานี้เกิดขึ้นเมื่อ ๒๔๙๔ ปีมาแล้ว

สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเวฬุวัน ทรงมีพระพุทธดำรัสด้วยพระพุทธจิต ถึงจิตของพระอริยสาวกสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ ที่อยู่ในที่ห่างไกลต่างๆ กัน ให้ไปเฝ้าพระพุทธบาทโดยพร้อมเพรียง ณ พระมหาวิหารเวฬุวัน ในวันขึ้น ๑๕ ต่ำ เดือน ๓ เพื่อรับหลักประกาศพระพุทธศาสนา ที่จะโปรดประทาน

O วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ พระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ ได้รับเทิดทูนให้เป็นวันบูชาสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือวันมาฆบูชาในทุกวันนี้ เพราะเป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกระทำวิสุทธิอุโบสถ์ ท่ามกลางสาวกสงฆ์สันนิบาตอรหันตขีณาสพ จำนวนถึง ๑,๒๕๐ องค์

ที่ล้วนได้รับพระพุทธเมตตาประทานการบวชให้ โดยทรงมีพระพุทธดำรัสว่า เอหิ ภิกขุ จงเป็นภิกษุมาเถิด และในท่ามกลางวิสุทธสงฆ์อริยสาวกนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงมีพระพุทธดำรัสประกาศหัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการ เพื่อเป็นหลักในการที่พระอริยสงฆ์ทั้งหมด จะได้ถือหลักในการประกาศพระพุทธศาสนา ให้ปรากฏแก่โลก ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อไป

O หลักสำคัญ ๓ ประการที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงโปรดประทานในท่ามกลางพระอริยวิสุทธสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คือเป็นความสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา หัวใจเป็นความสำคัญที่สุด ของความเป็นคนเป็นสัตว์ หรือความมีชีวิตนั่นเอง ชีวิตจะมีอยู่ไม่ได้แม้ไม่มีหัวใจ นี้ย่อมเข้าใจกันดีทุกคน

แต่ทุกวันนี้ไม่มากคนที่เห็นความสำคัญของความจริงนี้ ก็เท่ากับไม่เห็นความสำคัญของหัวใจนั่นเอง แทบทุกคนกลัวตาย และก็แทบทุกคนที่รู้แต่เหมือนไม่รู้ ว่าความตายจะมาถึงในทันทีที่หัวใจทำงานไม่ได้ หัวใจหยุดเต้นเมื่อไรเมื่อนั้นความตายย่อมมาถึง

การรักษาหัวใจจึงเป็นความสำคัญที่สุด ตราบหัวใจยังไม่หยุดเต้น ตราบนั้นควมตายย่อมไม่เกิด กลัวตายก็ต้องดูแลรักษาหัวใจให้เต็มความสามารถ อย่าให้หยุดเต้นเป็นอันขาด

O สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศหัวใจพระพุทธศาสนาให้ปรากฏประจักษ์ ก็เพื่อผู้มีปัญญารักพระพุทธศาสนา ดังเช่นรักชีวิตของตัวเอง จะได้รู้ว่าหัวใจพระพุทธศาสนานั้น แม้รักษาไว้ให้ดีเพียงไร ก็จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ได้ดีเพียงนั้น

ในทางตรงกันข้าม แม้ไม่รักษาหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ให้ดีจริง ก็จะไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ไม่มีพระพุทธศาสนาแน่นอน แม้ไม่รักษาหัวใจพระพุทธศาสนาให้อยู่อย่างงดงาม

O เมื่อพวกเราเต่และคนพบกับความตายนั้นค่อนข้างจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่มากอยู่เสมอ แต่พระพุทธศาสนาที่ถูกพวกเราทำให้ใกล้จะตายนั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่าอย่างพ้นคำพรรณนาจริงๆ ยังไม่สายเกินไปแม้จะพากันหันมาดูให้เห็นความจริงนี้

เมื่อใดพระพุทธศาสนาหมดไปจากโลก เมื่อนั้นโลกจะต้องเผชิญกับความทุกข์ความโศกเศร้าแสนสาหัส เกินกว่าความทุกข์ความโศกเศร้าของคนที่ต้องพบกับความตายมากมายในระยะนี้ นี่เป็นความจริง ที่ควรจะพากันดูให้เห็น คิดให้ถูก ให้เกิดความกลัวอย่างยิ่ง ที่ชีวิตจะต้องสูญเสียพระพุทธศาสนา

ความสูญเสียนี้ยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัวกว่าความสูญเสียชีวิตของผู้คนที่กำลังเกิดขึ้นมากมายในทุกวันนี้ อย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะความตายของแต่ละคนเป็นความทุกข์ของคนแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวเท่านั้น แต่ความจบสิ้นขสองพระพุทธศาสนาเป็นความทุกข์ของคนทั้งโลกแน่นอน

พระพุทธศาสนาให้ความร่มเย็นเป็นสุขได้จริงแก่โลก ที่โลกร้อนนักในทุกวันนี้เพราะคนในโลกทำให้พระพุทธศาสนาอยู่ในสภาพคนเจ็บใกล้ตาย ขอให้ผู้นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกก็ตาม หรือเป็นพุทธมามกะผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักก็ตาม จงพยายามคิดให็เห็น คิดให้เข้าใจ อย่างถูกต้องถ่องแท้เถิด

O ที่จริงเราทั้งหลายผู้นับถือพระพุทธศาสนาได้ตั้งใจเทิดทูนพระพุทธศาสนาอยู่แล้วอย่างเต็มสติปัญญาความสามารถ แต่น่าจะเป็นเพราะไม่เข้าใจถูกแท้นักในเรื่องนี้ จึงพากันแสดงความเทิดทูนนับถือพระพุทธศาสนาไปตามความเข้าใจของตนที่ยังไม่ถูกนักยังไม่ตรงนัก

พระพุทธศาสนาจึงอ่อนแรงลงมาก เกือบจะสิ้นลมหายใจก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่ปรากฏอยู่ให้รู้ให้เห็นมากมายว่าเรายังเทิดทูนพระพุทธศาสนาอยู่อย่างเต็มสติปัญญาความสามารถ แม้ไม่นำมาพูดอีกในที่นี้ก็รู้เห็นกันอยู่แล้ว มีการประพฤติปฏิบัติเทิดทูนพระพุทธศาสนากันอยู่แล้ว มีการประพฤติปฏิบัติเทิดทูนพระพุทธศาสนากันอยู่แล้ว

นั่นก็คือเช่นการปรารถนาสิริมงคลจากพระพุทธศาสนา ก็พากันทำทุกอย่าง ที่มั่นใจว่าเป็นการถูกต้องที่จะได้รับสิริมงคลยิ่งใหญ่จากพระพุทธศาสนา หรือจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน การไปกราบไหว้พระพุทธปฏิมาตามวัดต่างๆ ๗ วัด ก็มีทำกันเสมอ

บางทีเลือกวัดได้ก็จะเลือกวัดที่สำคัญ ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ บางทีเลือกวัดไม่ได้ก็ไม่ยึดถือจริงจังนัก จะเพียงให้ครบจำนวนวัด ๙ วัด หรือ ๗ วัด ก็เต็มอกเต็มใจไป กราบไหว้พระพุทธปฏิมาทุกวัดนั้นอย่างมั่นใจว่าจะก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตแน่นอนนี้เป็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของผู้นับถือพระพุทธศาสนา อย่างไม่มีอะไรควรตำหนิติได้
O ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ พระพุทธภาษิตนี้เป็นจริงทุกกาล ทุกสมัยไม่มีเป็นอื่น เมื่อพากันไปกราบไหว้พระพุทธปฏิมาด้วยความมุ่งมั่น ว่าจะเกิดสิริมงคลแก่ชีวิตได้จริง ก็แน่นอนที่ผลจะไม่เป็นอื่น จะเป็นเช่นใจตั้งปรารถนาอย่างเชื่อมั่นแน่นอน

แสดงความเป็นใหญ่ของหัวใจ ความเป็นประธานของใจ ความสำเร็จด้วยใจ แน่นอน แต่แม้จะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาด้วยความหวังดีควรต้องพูดว่าผลจากการทำเช่นนั้นยังไม่พร้อมพอที่จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้

พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่สืบไปได้อยู่ที่การปฏิบัติรักษาหัวใจพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถ้าพร้อมกันปฏิบัติรักษาหัวใจพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาซึ่งเปรียบดังร่างกาย ที่หัวใจได้รับการดูแลรักษาให้ดำรงอยู่ ก็ย่อมไมล้มหายตายจากไปเป็นธรรมดา

ดั้งนั้นจึงควรเข้าใจหน้าที่ของเราชาวพุทธให้ถูกแท้ และปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ให้รักษาหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ให้แข็งแรงสมบูรณ์พร้อม ซึ่งจะเป็นเหตุให้ร่างกายคือร่างกายพระพุทธศาสนาแข็งแรงดำรงอยู่ได้อย่างร่างกายมนุษย์ที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นโรคร้ายแรงทั้งหลาย

O ในพระโอวาทปาติโมกข์ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงหัวใจพระพุทธศาสนาให้ต้องดูแลรักษาอย่างเต็มสติปัญญาความสามารถ ให้ไกลจากโรคร้าย เพื่อให้ร่างกายที่เป็นเครื่องรองรับหัวใจนั้น ได้พ้นจากความต้องตาย

ความแตกต่างของหัวใจในร่างกายมนุษย์กับหัวใจพระพุทธศาสนานั้น มีอยู่ว่า หัวใจมนุษย์เมื่อเกิดโรค ต้องอาศัยแพทย์โรคเฉพาะหัวใจดูแลรักษา แต่หัวใจพระพุทธศาสนานั้น พุทธศาสนิกทุกคนควรต้องศึกษาดังเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกคน

ศึกษาให้เก่งที่สุดเท่าที่จะสามารถเก่งได้ ศึกษาแล้วก็ลงมือรักษาโรคหัวใจพระพุทธศาสนาให้เต็มสติปัญญาความรู้ความสามารถ อย่าประมาทว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่จงดีใจที่สมเด็จพระบรมครูทรงเป็นครูแพทย์ที่เก่งกาจสามารถในเรื่องของหัวใจเหนือใครทั้งปวงหมด

จงเคร่งครัดปฏิบัติตามที่ทรงแสดงไว้ให้ร่วมมือกับพระพุทธองค์ในการรักษาโรคร้ายของหัวใจ ให้ได้ผลอย่างดีที่สุดเป็นความหายขาดจากโรคร้ายที่จะทำลายชีวิตของพระพุทธศาสนาได้จริง

O หัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ในพระโอวาทปาติโมกข์ มีดังนี้

๑. การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง
๒. การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อมบริบูรณ์
๓. การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โรคร้ายแรงของหัวใจพระพุทธศาสนานั้นคือ

๑. การไม่ละบาปอกุศลทั้งปวง
๒. การไม่ทำบุญกุศลให้ถึงพร้อมบริบูรณ์ และ
๓. การไม่ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว

สามประการต้นในพระโอวาทปาติโมกข์ เป็นการทรงแสดงวิธีปฏิบัติร่วมมือกับสมเด็จพระบรมศาสดา พระผู้ทรงเป็นดังแพทย์หัวใจผู้เก่งกาจสามารถเหนือแพทย์รักษาโรคหัวใจทั้งนั้น

การร่วมมือปฏิบัติตามพระพุทธองค์ให้จริงจัง จะไม่มีผลเป็นอื่นนอกจากความพ้นขาดจากโรคร้ายแรงที่สุดของหัวใจพระพุทธศาสนา

ส่วน ๓ ประการหลัง ที่ตรงกันข้ามกับ ๓ ประการต้น เป็นการแสดงความไม่ร่วมมือปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมครูทรงแสดงสอนไว้ ผลแน่นอนก็คือจะไม่สามารถพ้นจากโรคร้ายแรงของหัวใจพระพุทธศาสนาได้เลย

เมื่อโรคร้ายไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและจริงจัง ความรุนแรงของโรคย่อมมากขึ้นตามวันเวลา วันหนึ่งความตายก็จะมาถึง ดังกล่าวแล้วไม่มีความตายใดจะเสมอด้วยความตายของพระพุทธศาสนา ผลร้ายแรงจะเกิดแก่โลก ให้ความทุกข์หนักหนานัก

ลองคิดดูความเดือดร้อนที่เกิดทุกวันนี้เป็นที่หนักอกหนักใจเพียงใด เมื่อถึงวันที่พระพุทธศาสนาต้องมาตายจากโลกนี้ไป ความทุกข์ความหนักอกหนักใจจะพ้นพรรณนาได้อย่างแน่นอน

O ความสำคัญแห่งชีวิตเราทุกคนนั้นยากจะนำพระพุทธศาสนาไปเปรียบได้ แต่จะขอเปรียบเพื่อให้เกิดผลดีแก่สติปัญญาของเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา ที่จริงแม้ไม่ใช่ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ไม่อาจพ้นความทุกข์ แม้เกิดการจากไปของพระพุทธศาสนา

ดังนั้นจึงคิดว่าไม่ผิดแม้จะกล่าวว่าให้คิดให้จริงจัง อย่าเพียงสมมุติเท่านั้น ว่าพระพุทธศาสนาเปรียบได้ดังท่านผู้เป็นมารดาบิดาของเราทุกคน ทั้งยังเป็นมารดาบิดาที่รักลูกสุดหัวใจ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นมารดาบิดาที่มีปัญญาเหนือมนุษย์ หาที่เปรียบไม่ได้

ไม่ควรหรือที่เราจะหาหมอหายาตามหมอสั่งมาเยียวยารักษาท่าน เมื่อรู้แล้วเห็นแล้วอย่างถนัดชัดเจน ว่าท่านกำลังถูกโรคหัวใจรุมล้อมอย่างรุนแรง โดยที่เราผู้เป็นลูกหญิงลูกชายหาได้เหลียวแล รักก็รักอยู่เหมือนกัน ไม่อาจกล่าวได้แน่นอน ว่าเราทั้งหลายไม่รักท่านผู้เป็นมารดาบิดาของเรา คือไม่ได้รักพระพุทธศาสนา

พูดเช่นนี้ก็ผิดเกินไป ความจริงเราทุกคนรักพระพุทธศาสนา เทิดทูนสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างสุดหัวใจจริง น่าจะด้วยกันทุกคนก็ไม่ผิด แต่เราไม่ปฏิบัติรักษาหัวใจของท่านให้ถูก ให้เป็นไปตามที่พระผู้จอมแพทย์โรคหัวใจทรงแสดงสอนไว้เกี่ยวกับหัวใจพระพุทธศาสนา ดังที่มีปรากฏอยู่ในพระโอวาทปาติโมกข์

O ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงพระพุทธเมตตาต่อสัตว์โลกไว้ครบถ้วน ทั้งต่อท่านผู้เป็นพระเณร และทั้งต่อคฤหัสถ์ทั้งนั้น สำหรับพระที่ทรงสอนโดยเฉพาะก็ด้วยทรงชี้ชัดให้รู้ ว่าผู้ที่ทำร้ายเบียดเบียนใครๆ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตและไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

สำหรับทั้งพระและทั้งคนทั่วไปทรงสอนว่าความอดทนอดกลั้นเป็นเครื่องเผากิเลสก็พึงรับคำทรงสอนไปเตือนตนเองไว้เสมอเมื่อต้องเผชิญกับอะไรๆ ที่ขัดกับจิตใจอย่างรุนแรงน้อมนึกถึงคำทรงสอนแล้วให้อดกลั้นเพื่อจะได้เผากิเลสให้หมดสิ้น

ให้ความโลภความโกรธคามหลงลดน้อยลง เพราะถูกความอดทนอดกลั้นกำจัด อดทนอดกลั้นบ่อยครั้งเพียงไรความโลภความโกรธความหลงก็จะถูกกำจัดให้น้อยลงเป็นลำดับเพียงนั้น เป็นผลที่ยิ่งใหญ่นักควรเป็นที่ปรารถนานัก สำหรับทุกถ้วนหน้า

O กิเลสคือความโลภความโกรธความหลงหรือโลภะโทสะโมหะ เป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง ดังนั้นความอดทนอดกลั้นจึงเป็นเครื่องทำลายความเศร้าหมองให้หมดไปจากใจ ความอดทนอดกลั้นจึงมีความสำคัญ มีความยิ่งใหญ่ที่ผู้เห็นโทษของความเศร้าหมองต้องใช้ความอดทนอดกลั้นไว้เสมอ

พบอะไร เห็นอะไร ได้ยินได้ฟังอะไรที่ไม่ถูกตา ไม่ถูกหู ไม่ชอบกลิ่น ไม่ชอบรส ไม่ชอบถูกต้อง ไม่ว่าจะมากน้อยหนักเบาเพียงไหน ก็ให้มีสติอดทนอดกลั้นในทุกกรณี ให้ได้เสมอ ก็จะถึงวันหนึ่งที่จิตใจผ่องใส ไกลความเร่าร้อน ความสุขของสภาพจิตใจที่เกิดจากคามอดทนอดกลั้นนั้น จักเป็นความสุขที่เกิดแต่ธรรม

คือความอดทนอดกลั้น เป็นความสุขที่หาได้ยากยิ่งด้วยวิธีอื่น ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรนักหนา ไม่ถึงต้องรบราฆ่าฟันกับเหตุแห่งความขัดข้องหนักหนาทั้งหลาย เพียงมีสติ ทำใจให้มีความอดทนอดกลั้นเฉยอยู่เท่านั้นก็สงบสบายได้

O ช่วงเวลาขณะที่เราทุกคนจะต้องใช้ความอดทนอดกลั้นมิไม่เสมอกัน แต่ก่อนจะถึงธรรมที่นำให้มีความสุขสงบครองใจ ไม่พลุ่งพล่านเร่าร้อนด้วยอารมณ์รุนแรงต่างๆ ด้วยเรื่องต่างๆ ทุกคนแน่นอนต้องมีช่วงขณะที่ควรต้องใช้ความอดทนอดกลั้น แตกต่างกัน ที่ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นมากน้อยต่างกันเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่ยอมใช้ความอดทนอดกลั้นเสียเลย ก็น่าเสียใจที่จะไม่ได้มีวันหนึ่ง ที่ได้ถึงธรรม ที่นำให้เกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง

O ในพระโอวาทปาติโมกข์ได้ทรงมีพระพุทธดำรัสด้วยว่าพระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง นั่นก็คือ ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราทุกคน คือพระนิพพานพ้นการเวียนว่ายตายเกิด พ้นภาพพ้นชาติ นั่นก็คือพ้นความทุกข์ทั้งปวง เพราะทรงชี้ชัดให้รู้ความจริง ว่าความเกิดเป็นทุกข์ จะเกิดเป็นใคร จะเกิดเป็นอะไร ไม่ว่าจะเกิดสูงต่ำเพียงไหน จะเกิดดีชั่วเพียงไหน ก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

ด้วยพระพุทธเมตตา หรือพระมหากรุณา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงแสดงทางแห่งความพ้นทุกข์ คือไม่ต้องเกิด ไว้อย่างชัดแจ้ง มิได้ทรงอำพราง มิได้ทรงยอมท้อแท้พระพุทธหฤทัยที่จะทรงสอน เพราะทรงเห็นอยู่ว่าเป็นความยากยิ่ง ที่จะมีผู้ยอมเชื่อฟังและปฏิบัติตามได้ ดังนั้นจงนอบน้อมใจสนองพระพุทธเมตตา ด้วยการรับฟังคำทรงสอน และปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถเถิด

O หัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการทรงแสดงไว้ในพระโอวาทปาติโมกข์ เช่นเดียวกับที่ทรงชี้ให้เห็นเป็นที่รู้กันว่า ผู้ทำร้ายเบียดเบียนเขาไม่ใช่พระ ไม่ใช่เณร ครองผ้ากาสาวพักตร์ของสมณะของบรรพชิต แม้ทำร้ายเบียดเบียนเขาก็ไม่ใช่สมณะ ไม่ใช่บรรชิต

คำทรงเตือนด้วยพระมหากรุณานี้ สมณะและบรรพชิต ที่ได้ประโยชน์ ได้น้อมนำไปปฏบัติ ให้ได้เป็นสมณะเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนาดังพระพุทธประสงค์ ย่อมรู้ตัวเองด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นบรรพชิตเป็นสมณะที่แท้จริงของตน

ตรงกันข้ามกับผู้ครองผ้ากาสาวพักตร์ที่ทำร้ายเบียดเบียนเขา ย่อมรู้ตัวดี ว่าตนไม่ใช่สมณะ ไม่ใช้บรรพชิต ที่แท้จริง ในพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

O หลายปีมาแล้ว เมื่อเกิดความนิยมวันแห่งความรักขึ้นในหนุ่มสาวชาวไทย แต่เป็นไปตามแบบตะวันตก จึงได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า วันแห่งความรักที่สูงส่งบริสุทธิ์ก็มีอยู่ในประเทศชาติเรา คือ วันที่ความรักสัตว์โลกของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ปรากฏขึ้นชัดแจ้งที่สุด

ในวันมาฆบุชา เมื่อ ๒๕๙๔ ปีมาแล้ว ทุกวันนี้ชาวพุทธเทิดทูนบูชาวันนั้น ว่าเป็นวันมาฆบูชา วันบูชาในวันมาฆะ คือ วันที่พระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ ตามลำพังเพียงพระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ ก็แน่นอนหาเป็นความสำคัญจนได้รับเทิดทูนเป็นวันบูชาในพระพุทธศาสนา

ความสำคัญอยู่ที่ว่าวันนั้นเป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระโอวาทปาติโมกข์ ที่มีแสดงหัวใจพระพุทธศาสนาท่ามกลางอรหันตพุทธสาวกถึง ๑,๒๕๐ องค์

ทุกองค์โปรดประทานการบวชให้ ในพระโอวาทปาติโมกข์ที่ทรงแสดงคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ คำว่ามาฆบูชามีเหตุนี้ประกอบด้วย แม้เพียงเล็กน้อย

O ความสำคัญของวันมาฆบูชาอยู่ที่เป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศความรักยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ ที่ทรงมีต่อสัตว์โลกทั้งปวง ความรักยิ่งใหญ่นี้ทรงประกาศไว้ในพระโอวาทปาติโมกข์

แม้ไม่พิจารณาให้ดีจริงย่อมยากจะเข้าใจ ว่าไฉนจึงกล่าวว่าทรงแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อสัตว์โลกทั้งปวง ไม่เลือกหญิงชาย ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ และศาสนา สัตว์โลกทั้งปวงอยู่ในข่ายแห่งพระมหากรุณา ในความรักที่บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่นั่นเอง ซึ่งได้ทรงแสดงไว้ชัดเจนในพระโอวาทปาติโมกข์ในวันมาฆบูชา เมื่อ ๒๕๙๔ ปีมาแล้ว คือ ๔๕ ปีก่อนปีพระพุทธศักราช

O ความรักที่บริสุทธิ์สูงส่งในพระโอวาทปาติโมกข์ปรากฏรูปให้เห็นพระพุทธหฤทัยห่วงใยปรารถนาดีต่อสัตว์โลกทุกถ้วนหน้า

พระคาถา ๓ บท ในพระโอวาทปาติโมกข์ล้วนทรงแสดงสอนผู้ปฏิบัติให้เป็นคนดีที่จะได้รับผลดีงามอย่างยิ่ง ซึ่งผู้ไม่มีความรักความเมตตาปรารถนาดีอย่างเปี่ยมล้นจะไม่มาพร่ำสอนใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยรู้ด้วยว่า ยากนักที่ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วจะปฏิบัติได้ง่ายๆ

แต่ด้วยความที่ทรงรักทรงมีพระพุทธหฤทัยปรารถนาดีอย่างที่สุดต่อสัตว์โลก สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงตัดสินพระพุทธหฤทัยสอนสิ่งที่ทรงทราบดีว่ายากนักที่จะมีผู้ฟังแล้วเข้าใจจนถึงปฏิบัติตามได้

ในพระโอวาทปาติโมกข์ทรงเริ่มด้วยทรงให้กำลังให้ผู้มากมีกิเลสทั้งหลาย ว่าให้รู้จักอดทนอดกลั้นต่อความไม่ต้องอารมณ์ทั้งนั้น ว่าแม้พยายามอดทนอดกลั้นไว้ให้ได้เสมอเมื่อต้องพบความไม่ต้องใจหนักหนาทั้งนั้น กิเลศที่มีอยู่จะถูกเผาไหม้ลดหายมลายไปด้วยอำนาจของความอดทนอดกลั้น

ผู้ได้ฟังคำทรงสอนนี้ แม้ในปัจจุบัน ที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานนักแล้วก็ตาม แต่แม้ผู้ได้รับรู้คำทรงสอนในพระธรรม ที่สืบต่อมาเป็นพันๆ ปีแล้ว นอบน้อมยอมเชื่อมั่นในพระธรรมคำทรงสอนอย่างจริงจัง

ปฏิบัติด้วยความเชื่อมั่นจริงจังนั้นว่า เป็นพระธรรมคำทรงสอนที่จริงแท้ ที่จะให้ผลดังทรงมีพระพุทธดำรัสไว้ ผู้นั้นก็จะได้รับผลตามพระพุทธดำรัสสอนแน่นอน

พระธรรมคำทรงสอนที่ปรากฏเป็นพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกเล่นเหลวไหล แต่เป็นความจริง ที่ให้ผลจริงทุกประการ เช่นความอดทนอดกลั้นเป็นตบะเครื่องแผดเผากิเลสของผู้ปฏิบัติที่มีความอดทนอดกลั้น แน่นอนเสมอไป

O ประการหนึ่งในพระโอวาทปาติโมกข์ ที่เป็นความสำคัญอันควรได้รับความสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ ที่มีข่าววุ่นวายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอยู่เนืองๆ นั่นก็คือสมเด็จพระบรมครูได้ทรงแสดงชี้ให้เข้าใจกันชัดเจนถูกต้องในความสำคัญของการจำเป็นต้องปฏิบัติของบรรดาผู้ปรารถนาจะเป็นบรรพชิต จะไม่มีสำหรับผู้ทำร้ายเบียดเบียนใครต่อใครทั้งนั้น

นี้เป็นความรู้ทั้งของบรรดาผู้รู้เห็นและทั้งเจ้าตัวผู้ปฏิบัติที่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ ที่ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต คือแม้มีการทำร้ายเบียดเบียนด้วยการกระทำของผู้ใด ตัวผู้ทำด้วย ผู้รู้เห็นทั้งหลายด้วยย่อมรู้ว่าผู้นั้น ที่ทำร้ายเบียดเบียนเขา ไม่ใช่สมณะ ไม่ใช่บรรพชิต แม้ว่าจะครองผ้ากาสาวพักตร์สำหรับสมณะหรือบรรพชิต ก็หาใช้สมณะไม่ หรือหาใช้บรรพชิตไม่

การที่พระพุทธองค์ทรงชี้ชัดเช่นนี้ให้โลกรู้ น่าจะเป็นวิธีช่วยรักษามิให้มีสมณะไม่จริง หรือมิให้มีบรรพชิตไม่จริงอย่างมากมายอีกต่อไป เป็นการทรงช่วยมิให้มีบาปเกิดขึ้นในชีวิตสัตว์โลกมากมายเช่นกัน เช่นเดียวกับทรงช่วยให้สัตว์โลกถูกทำร้ายถูกเบียดเบียนน้อยลงได้

O สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ในพระโอวาทปาติโมกข์ว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา และเห็นความสำคัญสูงสุดของพระนิพพาน ย่อมได้ความเข้าใจในความหมายที่ทรงมีพระพุทธดำรัสไว้

พระนิพพานเป็นจุดสูงสุดในบรรดาธรรมทั้งนั้นแน่นอน การปฏิบัติธรรมถึงพระนิพพานเท่านั้นที่จะนำให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเข้าถึงพระนิพพาน คือการไม่ต้องเกิดอีกนั่นหมายถึงการเข้าถึงพระนิพพานคือการจะไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป

เช่นนี้พระนิพพานจึงเป็นธรรมอย่างยิ่ง เป็นธรรมสำคัญยิ่ง เป็นธรรมสำคัญสูงสุด ไม่เพียงในพระพุทธศาสนา เป็นธรรมที่นอกจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่มีศาสดาในศาสนาใดอื่นเคยได้เคยถึง

จึงไม่มีใครอื่นรู้ทางดำเนินไปสู่จุดสูงสุดสำคัญสุด ที่พาพ้นความเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อยแปดประการ สมเด็จพระบรมศาสดาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงพระพุทธดำเนินไปแล้ว ทรงบรรลุแล้วถึงจุดหมายปลายทางสูงสุด คือพระนิพพาน จึงทรงสามารถแสงดทางนั้นแก่โลกได้
O พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ก็เพราะพระนิพพานเท่านั้นที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ ผู้ปฏิบัติธรรมถึงพระนิพพานเมื่อไร ก็เมื่อนั้นที่จะไม่ต้องมีภพชาติอีกต่อไป

ทรงมีพระพุทธดำรัสไว้ถูกแท้ ว่าความเกิดเป็นทุกข์ เมื่อไม่ต้องเกิดแล้ว ก็ไม่เป็นทุกข์แล้ว ความจริงนี้น่าจะเป็นที่สนใจอย่างมาก แต่ไม่เป็นเช่นนั้น มีจำนวนน้อยที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจจริงในพระพุทธดำรัสที่ว่าความเกิดเป็นทุกข์

ได้ยินได้ฟังก็เพียงสักแต่ว่าผ่านหูไปเฉยๆ เหมือนเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่ความจริงทุกคนได้ผจญได้พบเห็นได้รับรู้ความทุกข์ทั้งของตนเอง และของผู้คนมากมาย มาด้วยกันแล้วทั้งนั้น แต่ให้ความสนใจน้อยมาก จึงยากที่จะหาผู้ปรารถนาจะหนีความเกิดให้พ้น

O ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาต้องนับว่ามีบุญมากนักแล้ว ผู้ใหญ่สมัยโบราณท่านจึงสอนลูกหลานให้ก่อนนอนไหว้พระสวดมนต์ แล้วให้จบด้วยการอธิษฐานของให้ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

แต่ถ้าเชื่อว่าการเกิดเป็นทุกข์ ก็น่าจะพยายามให้รู้สึกอย่างจริงใจ ว่าทำไมจึงไม่ตั้งใจอธิษฐานขออย่าเกิดเลย เพราะเกิดแล้วเป็นทุกข์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้พร้อมกับทรงแสดงทางไปสู่พระนิพพาน เพื่อไม่ให้ต้องเกิดอีก ทำไมไม่ตั้งใจอธิษฐานให้ไปพระนิพพานเสียเลย

ผู้คิดแบบนี้มีอยู่ ก็ไม่มีใครคัดค้านแม้จะมีผู้ปรารถนาขอไม่เกิดอีกต่อไป แต่ต้องไม่ลืมว่าการปรารถนาขอเช่นนั้น โดยไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อให้สามารถไปถึงพระนิพพานได้ย่อมไม่เกิดผลได้ดังปรารถนาแน่นอน

ดังนั้นแม้ปรารถนาถึงธรรมอย่างยิ่ง คือพระนิพพานก็ต้องสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งจริงให้ได้ก่อน ว่าปรารถนาพระนิพพานจริง และปฏิบัติดำเนินไปในทางแห่งธรรมอย่างยิ่ง คือพระนิพพาน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางจะไปถึงพระนิพพานได้ แน่นอน

O จะให้จิตปรารถนาอย่างจริงใจในความไม่เกิด ต้องดูให้เห็น คิดให้รู้ ว่าความคิดเป็นทุกข์จริง พระนิพพานพาให้พ้นความเกิดได้จริง ถึงพระนิพพานเมื่อไร ก็เมื่อนั้นถึงความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง

ต้องคิดให้เห็น ให้ซาบซึ้ง ในความจริงของพระพุทธดำรัส ที่ว่าความเกิดเป็นทุกข์ซาบซึ้งถึงใจเมื่อไร ก็เมื่อนั้นแหละจะมุ่งหน้าอย่างจริงจังไปสู่ความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน

ถึงพระนิพพานเมื่อไร ก็เมื่อนั้นจะซาบซึ้งสุดหัวใจในพระพุทธเมตตา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงชี้ทางให้เดินไว้ ให้ถึงความไม่เกิด ความไม่ต้องพบความทุกข์อีกต่อไป ด้วยทรงมีความรักเราทั้งหลายผู้เป็นสัตว์โลกพ้นจะพรรณนา

O ไม่เพียงความพิกลพิการต่างๆ นานาของรูปร่างหน้าตาที่เกิดได้กับผู้ยังมีการเกิด ความพิกลพิการของความรู้สึกนึกคิดก็ยังมีได้ต่างๆ นานา แสดงออกถึงความผิดปกติได้ทั้ง การกิน การยืน การเดิน การนอน การนั่ง การพูด การจา

น่าจะได้พบได้เห็นด้วยตนเองแล้วแทบทุกคนอาจจะที่ไกลตัวบ้าง ที่ใกล้ตัวบ้าง ให้ความรู้สึกที่กระทบกระเทือนจิตใจไม่มากก็น้อย นี่คือทุกข์ของการเกิด ที่ทุกคนไม่อาจรับรองได้ ว่าจะเกิดกับเราเมื่อใดหรือไม่ อย่างใกล้ตัวหรือไกลตัวเพียงใด

O จะเป็นการอบรมปัญญาประการหนึ่งให้รู้แจ้งชัดเจนแม้พอสมควร ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ถ้าจะพยายามมีสติ รู้ให้แจ้งใจ เมื่อได้พบได้เห็นการเกิดที่แสดงความทุกข์ชัดแจ้ง ความเกิดเป็นทุกข์เช่นนี้ ความเกิดเป็นทุกข์เช่นนี้

ระลึกรู้ให้ทันเสมอเมื่อได้พบได้เห็นได้มีความทุกข์ อย่าสักแต่เพียงได้พบได้เห็น แล้วก็ปล่อยให้ผ่านพ้นไป เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเช่นนั้นไม่ได้ประโยชน์จากความต้องเกิดมาให้พบเห็นความทุกข์ร้อยแปดประการ

O ความจริงมีอยู่อย่างหนึ่ง ที่หลายคนอาจไม่นึกถึง นั่นก็คือทันทีที่สิ้นลมหายใจ ละโลกนี้ไป ละร่างในภพชาติที่เป็นอยู่ไป ก็จะไปเกิดในอีกภพชาติหนึ่งทันที เรียกได้ว่าไม่พ้นความเกิด ซึ่งก็ต้องไม่พ้นความทุกข์ของเกิดนั่นเอง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธดำรัสไว้เพียงว่าความเกิดเป็นทุกข์

มิได้ทรงมียกเว้นสำหรับการเกิดเป็นนั่นเป็นนี่จะไม่มีความทุกข์ ทรงชี้ให้เข้าใจได้ว่าความเกิดทั้งปวงเป็นทุกข์ จะเกิดเป็นคน หรือจะเกิดเป็นเทวดาหรือจะเกิดเป็นสัตว์ประเภทใด รวมไปถึงที่รู้จักกันในนามของสัตว์นรก

O ทุกชีวิตของการเกิดต้องเป็นทุกข์ทั้งนั้นมากน้อยไม่เท่ากันเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำกันมา เหตุนั้นคือกรรม ทำกรรมชั่วหนักหนา ก็จะต้องเกิดในภพชาติที่มีความทุกข์หนักหนา สมควรแก่กรรมที่ได้ทำมานั่นเอง ทุกชีวิตจะไม่พ้นจากกรรมที่ได้ทำไว้

ทำกรรมดีไว้ เป็นการทำเหตุดี ผลที่จะได้รับก็จะเป็นผลดีที่สมควรแก่เหตุแน่นอน ดังนั้นแม้จะไม่มีความรู้ของญาณ ก็พอจะรู้ได้ว่าใครต่อใครที่รู้จักอยู่นั้นเป้นผู้ได้เคยทำกรรมใดไว้ ดีหรือไม่ดี เป็นบุญหรือเป็นบาป รู้ได้ถูกต้องพอสมควรแม้จะไม่มีญาณหยั่งรู้เลยก็ตาม

O เชื่อเรื่องความเกิดไว้ก่อน แล้วจึงค่อยสืบต่อไปให้ถึงที่ทรงมีพระพุทธดำรัส ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ยังไม่ถึงพระนิพพาน ทุกชีวิตต้องเกิดใหม่แน่ ตายเมื่อไรก็เกิดใหม่เมื่อนั้นแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเกิดเป็นคนดีจึงจะเป็นการเกิด เป็นวิญญาณก็เป็นการเกิด เป็นเทวดาก็เป็นการเกิด เป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ก็เป็นการเกิด และทุกการเกิด ไม่จำเป็นต้องเป็นคน ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น

เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นอะไรก็เป็นทุกข์ เพียงแต่ว่าความทุกข์อาจจะไม่เหมือนกัน วิญญาณก็จะทุกข์ไปตามแบบของวิญญาณ เช่นเป็นผีเป็นเปรต เคยมีผู้เล่าว่าเมื่อเปรตเป็นทุกข์จะกรีดเสียงร้องโหยหวน เป็นที่หวาดกลัวจนขนลุกขนพองของมนุษย์ที่ได้ยิน

เป็นสัตว์ก็ร้องด้วยเสียงตามชนิดสัตว์ ตามความรู้สึกเจ็บปวด หรือเป็นสุข และคนได้ยินก็จะรู้ ว่าสัตว์นั้นๆ แสดงความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะหมา น่าจะเพราะคนคุ้นกับหมามาก ยิ่งกว่าคุ้นกับสัตว์ชนิดอื่น จึงเข้าใจเสียงของหมาได้ดีกว่าเข้าใจเสียงขสองสัตว์อื่น

O ทุกชีวิตที่เกิดต้องมีทุกข์ และต้องแสดงออกด้วยกันหมด เพียงแต่แสดงออกแตกต่างกันเท่านั้น ตราบใดยังไม่ถึงพระนิพพาน ตราบนั้นทุกชีวิตต้องเกิด และทุกการเกิดเป็นทุกข์ สรุปลงได้ตามที่ทรงมีพระพุทธดำรัสเช่นนี้ ไม่เป็นอื่นคือความเกิดเป็นทุกข์

O นอกจากท่านผู้ถึงพระนิพพานแล้ว คือ นอกจากพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย เราทุกคนก็ควรจะรู้แล้ว ว่าเราจะต้องเกิดต่อไปอีก จะต้องพบความทุกข์ต่อไปอีก ไม่จบสิ้นเพียงชาตินี้ ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องเกิดอีก จะต้องมีความทุกข์ต่อไปอีก ก็ควรเตรียมภพชาติข้างหน้าให้ดีที่สุด ให้มีความทุกข์น้อยที่สุด ถ้าไม่เตรียมให้เกิดใหม่อย่างดีที่สุดเต็มความสามารถ

ก็เท่ากับพร้อมที่จะยอมรับความทุกข์ แม้หนักหนาเพียงใดก็ได้ เช่นนี้ก็ดูจะแสดงความเป็นคนไม่ฉลาดเลย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่มีกรรมท่วมท้น จนไม่มีความคิดจะหนีให้พ้นกรรมจนสุดความสามารถ ยอมตกอยู่ในมือกรรมอย่างง่ายดาย ทั้งที่โอกาสจะหนีให้พ้นกรรมมีอยู่

O ขณะยังมีชีวิตอยู่ในภพภูมิปัจจุบัน ทุกคนมีโอกาสที่จะเตรียมภพชาติที่จะต้องเกิดใหม่ได้ ให้ดีงามเพียงใดก็ได้เต็มความสามารถ และแม้จะต้องพบทุกข์ของการเกิด ดังสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทุกคนก็สามารถจะหนีทุกข์หนักหนา ให้พบแต่ทุกข์ที่ควรแก่ความเกิด ที่หลีกไม่ได้จริงๆ เท่านั้น

เช่นทุกข์ของความแก่ความตาย ที่ผู้เกิดต้องพบด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่อาจหนีความทุกข์ดังกล่าวได้แม้มีการเกิดแล้ว แต่อาจไม่ต้องพบกับความทุกข์อีกมากมายของการเกิด แม้เตรียมบุญไว้ให้พอเป็นเครื่องพาพ้นทุกข์นั้นได้ เช่นทุกข์ของความเจ็บไข้อย่างร้ายแรงหนักหนา ก็สามารถจะสร้างบุญเตรียมไว้ในภพชาติปัจจุบัน

เพื่อให้สามารถพ้นจากความเจ็บไข้ได้ทุกข์หนักหนาได้ โดยที่ผู้ไม่ได้สร้างบุญไว้ป้องกันตัวให้พ้นภัยของโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงแลย ก็อาจต้องทุกข์ทรมานหนักหนาด้วยโรคร้ายนานาประการได้ ซึ่งก็เป็นที่พบเห็นกันอยู่ไม่น้อย ทั้งอาจด้วยตนเอง และอาจด้วยเห็นปรากฏในผู้อื่นทั้งหลาย

เมื่อพบเห็นผู้หนึ่งผู้ใดที่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแม้ด้วยโรคที่มากมายหลายคนต้องเป็น เราก็คงคิดว่าผู้หนึ่งผู้ใดนั้นมีบุญ หรือทำบุญมาดี โดยเฉพาะในเรื่องให้ยา หรือให้การช่วยเหลือดูแลรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย อย่างดีที่สุด ด้วยมีเมตตาเป็นเหตุสำคัญ

O ทุกคนยังมีโอกาส ที่จะเตรียมภพชาติข้างหน้า ให้ดีงามเพียงใดก็ได้ แม้ทำเหตุให้เพียงพอกัาบผลที่ปรารถนา ซึ่งไม่ควรประมาทในเรื่องการเตรียมภพชาติข้างหน้าอย่างยิ่ง

เพราะแม้ประมาทไม่รอบคอบในการเตรียมภพชาติที่ตนจะต้องไปเกิดแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่งเมื่อวันนั้นมาถึงอาจจะต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งเพราะอาจจะตกอยู่ในสภาพของภพภูมิที่ร้ายกาจเกินกว่าจะรับได้ โดยไม่ทุกข์ทรมานและตระหนกตกใจขวัญหนีดีฝ่อ

เคยได้ฟังญาติโยมผู้หนึ่งเล่า ว่าวันหนึ่งได้พบพระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง ท่านชื่อเหลวงพ่อเมือง อยู่วัดทางเหนือขณะนั้นมีญาติโยมหญิงชายสนทนาอยู่กับท่านหลายคน ท่านพูดกับญาติโยมผู้หญิงคนหนึ่งว่ามีเปรตตัวหนึ่งอยู่ใกล้ตัวเธอ กำลังร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์นักหนา

หลวงพ่อท่านอธิบายด้วยว่า เปรตตนนั้นเป็นผู้หญิง ติดตามญาติโยมผู้นั้นอยู่ วิ่งบ้างเดินบ้าง ไม่รู้หยุด ถ้าเปรตตัวนั้นทุกข์มาก เร่าร้อนใจมาก ญาติโยมผู้นั้นก็จะได้รับความร้อนนั้นด้วย จะทำให้ใจเร่าร้อนด้วย

เมื่อทุกคนในที่นั้นแสดงความสงสัย ว่าเปรตมีจริงหรือ และทำไมจึงต้องมีเปรตมาร้องไห้วิ่งตามญาติโยมผู้นั้นด้วย หลวงพ่อท่านก็อธิบายให้เหตุผลอย่างชัดเจนพอที่ทุกคนจะเข้าใจได้ ท่านบอกว่าเปรตนั้นเป็นผู้หญิง เขาบอกว่าได้ขอยืมเงินญาติโยมผู้นั้นไป ๑,๐๐๐ บาทถ้วนๆ และไม่ได้ใช้ จึงต้องมาเป็นเปรต

เมื่อหลวงพ่อท่านบอกเช่นนี้ ญาติโยมผู้นั้นก็นึกได้ทันที เป็นจริงตามที่หลวงพ่อท่านบอก เมื่อหลายปีมาแล้ว ได้รู้จักกับสุภาพสตรีผู้จัดท่องเที่ยวทางภาคเหนือผู้หนึ่ง โดยได้ใช้บริการของเธอ ต่อมาวันหนึ่งเธอได้มาขอยืมเงิน ๑,๐๐๐ บาท โดยบอกว่ากำลังจะไปซื้อของ ลืมกระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน ได้ให้ยืมไป แต่ไม่เคยนำเงินมาใช้คืน

จนเมื่ออีกหลายปีต่อมาได้ทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์ ถึงการเสียชีวิตแล้วของเธอผู้นั้นก็ได้ตั้งใจอโหสิจริงๆ เมื่อสวดมนต์ไหว้พระในเวลาก่อนนอน แต่ใจที่อโหสิคงไม่เก่งพอ และเธอผู้นั้นก็คงไม่ได้รับความรู้ถึงความตั้งใจยกหนี้ให้เธอแล้ว จึงต้องมาเป็นเปรต เร่าร้อนด้วยแรงใจที่รู้ตัวอยู่ ว่าเป็นหนี้แล้วไม่ได้ใช้

แต่เธอยังโชคดี ยังมีบุญที่ทำมาพอช่วยได้ หลวงพ่อเมืองท่านจึงได้พบเธอ และได้ช่วยทำพิธีอโหสิด้วยความเต็มใจยินยอมของเจ้าเงิน เธอจึงพ้นแล้วจากภพภูมิที่น่าสลดสังเวชทนทุกข์ทรมานที่สุด

O ทุกคนควรเตรียมภพชาติข้างหน้าให้ดีเถิดให้เต็มสติปัญญาความสามารถเถิด เมื่อต้องเกิดอีกแน่แล้ว ก็เตรียมเกิดให้ดีที่สุด เมื่อเวลามาถึงจะได้ไม่เป็นทุกข์มากมายนัก จะได้เกิดในที่มีความสุขพอสมควร พอจะหลีกพ้นจากทุกข์ของความเกิดได้บ้าง แม้ว่าความเกิดจะต้องมีพร้อมกับความทุกข์แน่

สมเด็จพระบรมศาสดารับสั่งแล้ว เป็นไม่มีผิดแน่นอน และการเตรียมทำทุกอย่างที่ดีงาม คือที่เป็นบุญเป็นกุศลนั่นเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องรอให้ต้องละโลกนี้ไปเสียก่อน จึงจะได้เสวยผลแห่งบุญกุศลที่ทำแล้ว

บุญนั้นกุศลนั้นแม้ทำเต็มที่ ไม่ถึงต้องไปเกิดชาติหน้าเสียก่อนจึงจะมีผล ชาติปัจจุบัน ที่ได้ทำบุญทำกุศลนี้ แม้บุญกุศลยิ่งใหญ่งดงามเพียงพอ ผลก็จะส่งได้งดงามทันตาทันใจ

O ญาติโยมผู้หนึ่งได้ทำเหตุอันเป็นบุญเป็นกุศลเพียงพอ ก็ได้เสวยผลในระยะเวลาที่ไม่ห่างจากการทำเลย เรื่องนี้เป็นที่รู้กันพอสมควรในบรรดาผู้รู้จักมักคุ้น คือญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เมื่อมีอายุประมาณ ๓๐ ปี

วันหนึ่งอยากจะใส่บาตรสักวันละร้อยรูป เพราะเช้าวันนั้นตื่นนอนแต่เช้า มองออกไปนอกบ้านเห็นพระเดินรับบิณฑบาตอย่างสงบเรียบร้อยหลายรูป สีผ้าเหลืองงดงามน่าชื่นใจ ทำให้เกิดปีติ พร้อมกับเกิดความคิดอยากจะเห็นผ้าเหลืองงดงามจำนวนเป็นร้อยในบ้านของตนบ้าง

นั่นเอง จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจขอแรงผู้คนในบ้าน ซึ่งสมัยนั้นมีคนทำงานบ้านอยู่มาก เป็นสิบคนและทุกคนมีน้ำใจ เมื่อได้รับทราบความต้องการก็ร่วมกันจัดให้ได้ถวายอาหารบิณฑบาตพระภิกษุสามเณรวันละร้อยรูป เป็นเวลานานถึง ๑๐ ปีโดยประมาณ จึงเกิดเหตุจำเป็นให้ต้องหยุด

พระภิกษุหลายรูปยังพูดถึงอยู่ ว่าท่านเป็นรูปหนึ่งในร้อยรูป ร้อยรูปจริงๆ เพราะการเตรียมอาหารเท่าจำนวนพระทุกวัน และโดยไม่ต้องนิมนต์พระเณรก็เมตตาเดินเข้าไปรับบิณฑบาตในบ้านญาติโยมผู้นั้นทุกวัน เห็นสีเหลืองอร่ามงดงามนัก

ต่อมาไม่กี่ปีหลังหยุดใส่บาตรจำนวนร้อย ญาติโยมผู้นั้นไปขอปฏิบัติธรรมที่เขาสวนหลวงราชบุรี ที่มีคุณป้ากี นานายน เป็นประธานสำนักเขาสวนหลวงมีกฎเกณฑ์อยู่อย่างหนึ่งคือให้ผู้ไปปฏิบัติรับประมานอาหารไม่มีเนื้อสัตว์ และผู้ไปอยู่ต้องหุงหาอาหารรับประมานเอง

ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าตั้งใจจะรับประทานขนมปังกรอบกับเครื่องดื่มเท่านั้น จะไม่รับประทานข้าว เพราะไม่อยากหุงหาให้ลำบาก จึงเตรียมไปแต่ขนมปังและเครื่องชงเท่านั้น วันแรกที่ไปถึงก็อัศจรรย์อยู่ เพราะบนลานหินสูงกว้างใหญ่ ที่จัดเป็นที่แสดงธรรมอบรมทุกวัน

เย็นนั้นก็มีการอบรมเช่นเคย โดยคุณป้ากีผู้เป็นประธานในสถานที่นั้นเป็นผู้ให้การอบรม และมีญาติโยมที่อยู่ปฏิบัติธรรมไปรับการอบรมจำนวนพอสมควรญาติโยมที่ไปถึงเป็นวันแรกก็เข้าไปร่วมด้วย

โดยเดินไปนั่งที่ม้าหินตัวหนึ่งซึ่งญาติโยมผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ได้รับเชิญให้ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่มีโต๊ะวางอยู่ข้างหน้า และบนโต๊ะตัวนั้นมีน้ำส้มคั้นกับน้ำเย็นวางไว้ด้วย โดยญาติโยมได้รับบอกเล่าว่า จัดไว้ให้รับประทาน

นอนคืนนั้นแล้ว รุ่งเช้าต้องตื่นตี ๓ เพื่อไปรับการอบรมที่ที่อบรม กลับไปที่พักตี ๕ กว่าๆ เข้าห้องอาบน้ำคิดว่าแล้วจะรับประทานอาหารเช้าตามที่ตั้งใจจัดเตรียมไป คือขนมปังกรอบกับเครื่องชง ไม่ใช่ข้าวต้มข้าวสวยอะไรทั้งนั้น

แต่พอเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ก็ต้องประหลาดใจอย่างมากที่สุด เพราะมีถาดข้าวต้มร้อนๆ วางอยู่ในห้องแล้ว มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งที่นำมานั่งรออยู่ และบอกว่า “คุณป้าท่านให้จัดมาให้คุณรับประทาน”

เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้รับความตื่นเต้นมหัศจรรย์อีกมากมายขณะพักอยู่ที่เขาสวนหลวง โดยที่ไม่มีผู้ใดในที่นั้นรู้จักมาก่อนคุณป้าท่านก็ตาเสียทั้งสองข้าง และไม่รู้จักเธอมาก่อน ชื่อเสียงท่านก็ไม่เคยถาม ไปขอพักผ่อนก็สังจัดเรือนพักให้ ทั้งยังให้จัดอาหารให้ตลอด ๗ วันที่พักอยู่ มีอาหารเช้า อาหารเพล น้ำส้มค้น น้ำเย็น

ยิ่งกว่านั้นทุกวันญาติโยมผู้นั้นจะขึ้นไปพักในถ้ำบนเขาที่ไม่สูงนัก คุณป้าท่านก็ให้จัดอาหารเพลขึ้นไปส่งถึงในถ้ำทุกวันขอไม่รับ เจ้าหน้าที่ผู้จัดก็ไม่ยอม บอกว่าเป็นความประสงค์ของคุณป้าท่าน ที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อผู้ใดที่ไปปฏิบัติ

พระเดชพระคุณของท่านนั้นญาติโดยผู้นั้นแสดงความปีติยินดีรู้พระคุณท่านมาก ที่ท่านเมตตาให้มีความเชื่อมั่นในเรื่องบุญและการส่งผลของบุญ ใครก็ตามที่ได้รับรู้เรื่องนี้ ย่อมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าการตั้งใจจัดภัตตาหารถวายพระวันละร้อยรูปนานปีได้ส่งผลแล้วจริง ในเวลาที่ไม่ต้องรอภพชาติข้างหน้าเห็นได้ในภพชาตินี้นั่นเอง

O ญาติโยมผู้ที่มีศรัทธามากอยู่ในพระพุทธศาสนา ถึงกับจัดอาหารถวายบิณฑบาตวันละเป็นร้อยรูป และเป็นเวลา ๑๐ ปี ด้วยเงินส่วนตัวที่มิได้เป็นคนมั่งมีเงินล้าน เรียกว่าหาได้ก็กล้าใช้เพื่อการพระพุทธศาสนา

โดยไม่นึกถึงจะหมดได้เล่าด้วย ว่าวันหนึ่งไปขึ้นเขาพระวิหาร บังเอิญเป็นวันที่ต้องยกเขาพระวิหารให้เขมร และรถที่พาคณะไปก็บังเอิญเกิดเสีย กลับไม่ได้ คืนวันนั้นต้องนอนอยู่บนเขาพระวิหาร ไม่มีอาหารรับประทาน

รุ่งขึ้นจึงได้เดินทางกลับ ขณะใกล้จะพ้นจากเขาต้องเปลี่ยนรถ ต้องรอรถที่จะไปรับ ญาติโยมผู้นั้นหิวมาก ทั้งเป็นผู้อ่อนแอมากเมื่อหิวเต็มที่ ก็ถึงกับหมดแรง ลงนอนกลางถนนอิฐแดงที่บังเอิญฝนตกน้ำนอง

แต่เมื่อหมดแรงจริงก็ต้องลงนอน รอรถที่ยังมาไม่ถึง เธอเล่าว่าหมดแรงจริงๆ จนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ มือเท้าก็หมดแรงเคลื่อนไหว ยังสงสัยว่ารถมาจะมิต้องให้มีผู้อุ้มหรือ จะไม่วุ่นวายกันใหญ่หรือเพราะนอกจากตัวเองแล้วไม่มีใครที่จะเข้าใจอาการหมดแรงอย่างแท้จริง

ขณะที่นอนกระดุกกระดิกไม่ได้กลางน้ำที่เปียกแฉะนั้น อย่างหมดปัญญาจะทำอย่างไร ความหิวท่วมท้นอย่างไม่เคยมาก่อน แต่แล้วก็มีผู้ชายจีนคนหนึ่งเดิมถือจานสังกะสีเล็กๆ ขอบน้ำเงิน มีไก่ย่างตัวนิดเดียว ขนาดลูกไก่เจี๊ยบจริงๆ ๓ ตัววางมาในจาน

พระรูปหนึ่งที่ไปในคณะเดินนำหน้าเขามาที่ญาติโยมผู้นั้นนอนอยู่ มีเพื่อนหญิงนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วยคนหนึ่ง พระรูปนั้นบอกว่าเฒ่าแก่เอาไก่ย่างมาถวายพระ แต่เวลานั้นบ่ายสามโมง พระฉันไม่ได้ จึงพามาส่งให้ญาติโยม

ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าไม่สามารถจะลุกขึ้นได้ เพื่อนเป็นผู้รับจานไก่ และฉีกป้อนให้ เพราะไม่มีแรงพอจะแตะต้องอะไรได้ ฉีกไก่ก็ไม่ได้ใส่ปากเองไม่ได้ แต่เมื่อรับป้อนได้เพียงเนื้อไก่ชิ้นเล็กจริงๆ เพียง ๒ คำจริงๆ ก็ลืมความหิวลุกขึ้นได้เหมือนไม่เป็นอะไร ยกไก่ที่เหลือทั้งหมดให้เพื่อนไปรับประทานแทน

ตัวเองไม่รู้สึกสนใจจะรับประทานต่อไปแล้ว หายหิว หายหมดแรง ลุกขึ้นนั่งได้ยืนได้และเดินได้ในทันทีไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นแล้วจริง ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งก็คือ บริเวณที่ลงไปนอนไม่กระดิกได้นั้นเป็นป่าทึบจริงๆ ไม่เห็นบ้านเรือนเฒ่าแก่คนนั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ได้ และไก่ย่างก็ตัวเล็กนิดเดียว แทบจะขนาดใส่เข้าไปในปากได้ทีเดียว

เทวดามาช่วย ผู้รู้เห็นเหตุการณ์น่าพิศวงนี้กล่าวตรงกันอย่างมั่นใจ ไม่ใช่คนแน่นอน ไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น และไก่ย่างก็ตัวเล็กนิดเดียว แทบจะขนาดใส่เข้าในปากได้ทีเดียว

เทวดามาช่วย ผู้รู้เห็นเหตุการณ์น่าพิศวงนี้กล่าวตรงกันอย่างมั่นใจ ไม่ใช่คนแน่นอน ไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น และไก่ย่างเล็กขนาดนั้นก็ไม่น่าทีให้กินในบริเวณนั้น ข้อสำคัญเพียงเนื้อไก่ชิ้นเล็กนิดเดียวจริงๆ เพียง ๒ คำที่กลืนลงไปหายหิวหายอ่อนเพลียอย่างมากมายในทันที

พอดีรถมารับ ก็ลุกขึ้ยรถไปอย่างคนที่ไม่หิวโหยอะไรแม้แต่น้อย จะไม่เชื่อว่าเป็นผลของบุญส่งมาถึง ก็ไม่อาจเชื่อเป็นอื่นได้ อานุภาพของบุญมีจริง และยิ่งใหญ่จริง ไม่พึงสงสัยแม้แต่น้อยเช่นนี้

O บุญ คือความดี ที่ควรเร่งทำอย่างยิ่งคือการเชื่อคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาระลึกไว้ให้เสมอ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจเข้าออก ว่ารับรู้รับฟังพระธรรมคำทรงสอนแล้ว ไม่ว่ามากว่าน้อย ก็จงเร่งปฏิบัติ

จำไว้อย่ารู้ลืมที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเตือนสติไว้ว่า “ท่านทั้งหลายต้องทำความเพียรเองตถาคตเป็นแต่ผู้บอก” เพียรปฏิบัติตามที่ทรงสอน ให้เกิดเป็นปัญญาของตน ที่จะพาให้พ้นจากมือมาร

ก่อนจะถึงวันมีอิสรภาพ ได้พ้นมือมาร ต้องตั้งใจตอบแทนพระมหากรุณาของสมเด็จพระบรมครู ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ด้วยการทุ่มเทสติปัญญาพร้อมความเพียรรักษาหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ให้สวัสดีเตรียมใจให้สะอาดที่สุด ด้วยการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง

เหมือนเตรียมล้างถ้วยล้างชามให้สะอาดเพื่อรองรับน้ำท่าอาหาร ให้ไม่มีความสกปรกให้ไม่ต้องเป็นผู้บริโภคที่อดรังเกียจตัวเองไม่ได้บริโภคไม่สนิทใจ ใจไม่แจ่มใสในการบริโภคอาหารในภาชนะที่มีความสกปรก ภาชนะสะอาดคือใจที่ไม่สกปรกด้วยบาปอกุศล

อาหารใส่ลงในภาชนะก็จะไม่สกปรกเมื่อภาชนะสะอาด คือการทำบุญทำกุศลทั้งปวงจะเป็นบุญเป็นกุศล ที่งามบริสุทธิ์ ปราศจากความสกปรกเศร้าหมองเพราะเป็นการทำที่พร้อมด้วยใจที่เป็นบุญเป็นกุศล

ทุกขณะที่รู้อยู่เห็นอยู่ถึงสภาพจิตใจของตนเอง แม้ไม่ขุ่นมัวเศร้าหมองเช่นการบริโภคอาหารที่สกปรกในภาชนะที่สกปรกในภาชนะที่สกปรก นั่นคือการชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว

O หัวใจ ๓ ประการของพระพุทธศาสนาพึงพากันรักษาไว้ให้เต็มสติปัญญาความสามารถซึ่งแม้ทำจริงก็จะเป็นบุญยิ่งกว่าบุญทั้งปวงทำบุญอะไรอื่นก็ไม่เสมอด้วยการรักษาหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ให้สุดความสามารถ ตอบสนองพระมหากรุณายิ่งใหญ่พ้นรำพันในสมเด็จพระบรมครู พระผู้ประเสริฐสูงสุดของเราท่านทั้งหลาย