วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
10/02/2009
ที่มา: 
เว็บไซต์วิถีชาวบ้านของ ครูศรีจันทรัตน์ กันทะวัง http://school.obec.go.th/phifo/index.html

เสียผี
ศรีจันทรัตน์  กันทะวัง - ผู้เขียน

เสียงซึงทำนองเพลงพื้นบ้านจากอ้ายบ่าวบ้านนาแว่วมาแต่ไกล หิ่งห้อยส่องแสงระยิบระยับแข่ง กับแสงดาวที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้า ในค่ำคืนอันมืดมิด ผู้เฒ่านั่งจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวในหมู่บ้าน ที่ตนได้เจอะเจอตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม่บ้านสุมไฟใต้ถุนบ้านเพื่อไล่ยุง และแมลงต่าง ๆ ให้ควาย สัตว์เลี้ยงคู่บ้านและสมาชิกคนอื่น ๆ บนบ้าน พร้อมต้มข้าวหมูในหม้อสาวใบใหญ่ เพื่อเก็บไว้ให้มันกิน ตอนเช้า เด็กเล็กร้องลั่นเรียกหาแม่อยู่หน้าบันได พ่อบ้านถือข้องพร้อมมีดพร้าไฟฉายเดินไปยังลำห้วย เพื่อส่องปลานานาชนิดและกบตัวโตสำหรับสมาชิกครอบครัวได้อิ่มในวันพรุ่งนี้

บนเรือนไม้หลังน้อย ผู้เป็นพ่อแม่ต่างรีบเข้านอนเพื่อหลีกทางให้ลูกสาวได้อยู่โดยลำพัง ด้วย ตระหนักว่าลูกสาวอยู่ในวัยสาวพอที่จะหาสมาชิกใหม่มาช่วยการงานของครอบครัว ได้แล้ว สาววันดา นั่งปั่นฝ้ายอยู่กลางเรือน แสงตะเกียงน้ำมันก๊าดดวงน้อยเปล่งรัศมีพอที่จะ ให้เห็นหน้าตาผู้มาเยือน หญิงสาวเหลือบมองและแอบดีใจ ที่เห็นใบหน้านั้นคือบุญมาชายหนุ่มที่รอคอย หญิงสาวประหม่า และเขินอาย หยิบจับอะไรแทบไม่ถูก รีบเชื้อเชิญให้หนุ่มขึ้นบนบ้าน ยกน้ำพร้อมบุหรี่ใบตองแห้ง เมี่ยง และเกลือเม็ดสำหรับบุคคลสำคัญ

ในสมัยก่อนการจีบสาว เรียกว่า แอ่วสาว การแอ่วสาวของหนุ่มบ้านนอกจะทำตอนกลางคืน ถ้าหนุ่มไหนจีบสาวตอนกลางวันพ่อแม่สาวจะไม่ชอบเพราะถือว่าขี้เกียจ ไม่ทำมาหากิน ถ้าเป็นการจีบ ตอนกลางวันก็จะจีบกันช่วงเอามื้อ (ลงแขก) ทำนาหรือ กิจกรรมอื่น ๆ ของหมู่บ้านเท่านั้น สาวบางคน อาจมีกิจกรรมทำ เช่น ปั่นฝ้าย หรือเสียบหมาก (ในยามหน้าหนาวผลหมากจะแก่เต็มที่ ผู้ชายจะขึ้น หมาก แล้วนำมาผ่าเป็นซีก ๆ ด้วยมีดผ่าหมาก ผู้หญิงก็จะนำเข็มเล่มยาวประมาณ 1 ฟุต พร้อม เชือกปอมา ร้อยหมากให้ เป็นเส้น ๆ เหมือนการร้อยลูกปัด) ส่วนถ้าใครว่างก็จะนั่งคุยกัน จะมีการใช้ ภาษาที่ถ่ายทอดความต้องการจากชายหนุ่มถึง หญิงสาว พอหนุ่มขึ้นบ้านไป พ่อแม่สาวที่ชอบชายหนุ่ม จะหลีกทางให้ทั้งสองมีโอกาสได้คุยกัน แต่ถ้าหนุ่มใดไม่เป็นที่พึงพอใจของพ่อแม่ ก็จะถูก กลั่นแกล้ง เช่น พูดประชดประชัน ทำเสียงดัง หรือกิริยาที่แสดงความไม่พอใจต่าง ๆ

ฝ่ายหนุ่มเมื่อเจอสาวตามธรรมเนียมต้องทักทาย

"แลงนี้น้องกิ๋นเข้ากับอะหยัง" (เย็นนี้น้องกินข้าวกับอะไร)

ถ้าสาวตอบว่า "กินข้าวกับแกงฟัก" หมายถึง หญิงสาวยอมรับรักมีไมตรีตอบ ทำให้หัวใจหนุ่ม พองโตด้วยความดีใจ แต่ถ้าสาวเจ้า ตอบว่า "กินข้าวกับแกงผักปั๋ง" หมายถึง เกลียดชัง ไม่ชอบหน้า ชายหนุ่มอาจใจเหี่ยวต้องลงเรือน ไปแอ่วสาวบ้านอื่นที่อาจมีไมตรีตอบรับต่อไป

สาวสวยนิสัยดีจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มหลายคน จะมีหนุ่มไปรอที่หน้าบ้านในตอนกลางคืน รอคอยให้หนุ่มผู้ขึ้นไปบนบ้าน ก่อนหน้าตนกลับลงมาก่อน จึงจะสามารถขึ้นไปคุยกับสาวได้ เพราะถ้า ขึ้นไปขณะสาวยังคุยกับหนุ่มอื่นจะถือว่าเป็นการหยามเกียรติ อ้ายหนุ่ม บ้านนอกเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใคร เขาทำกัน ทุกคนเคารพซึ่งกันและกันเสมอ เพราะผู้ตัดสินใจเกมความรักคือสาวเจ้านั่นเอง

เมื่อความสัมพันธ์ของหญิงสาวชายหนุ่มดำเนินไปถึงขั้นเป็น ตั๋วป้อตั๋วแม่ (คู่รัก) และตกลงใจ ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นผัวเมียสืบทอดวงศ์ตระกูลก็จะมีการ เสียผี และนำไปสู่ประเพณีแต่งงาน หรือ ชาวบ้านเรียกว่า กินแขก

การที่หนุ่มไปถูกเนื้อต้องตัว จับมือถือแขนสาว ถือว่า ผิดผี หากเป็นที่พอใจของสาวและพ่อแม่ ทางฝ่ายผู้ใหญ่ของสาวก็จะไปสัญญา หรือ บอกกล่าวให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายทราบว่า บ่าวบ้านนี้ไปผิดผี สาวบ้านตน ขอให้ไปใส่ผีหรือเสียผีตามธรรมเนียม แล้วจะได้แต่งงานกันต่อไปเรียกว่า ใส่เอา

เมื่อเสียผีแบบใส่เอาเสร็จแล้ว อาจมีการจัดพิธีแต่งงานหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ฐานะของคู่บ่าวสาว หากมีความพร้อมที่จะจัดพิธีทางญาติผู้ใหญ่ ทั้งสองฝ่ายจะหาฤกษ์ยามโดยการไปถามจากปู่อาจารย์ ผู้ที่ชาวบ้านเคารพนับถือในหมู่บ้าน เมื่อได้ฤกษ์ยามก็จะไป บอกข่าวแก่เพื่อนบ้าน เมื่อถึงเวลาทุกคน ต่างมายินดี ช่วยเหลืองาน ผู้ชายช่วยเตรียมผาม (ปะรำ) ก่อนวันงาน ผู้หญิงเตรียมและปรุงอาหาร เลี้ยงแขก เด็ก ๆ วิ่งเล่นพอถึงเวลาได้กิน ผู้เฒ่าผู้แก่ให้พร คู่บ่าวสาวชื่นมื่น เตรียมพร้อมรับ ชีวิตคู่ที่ จะมาเยือนในวันต่อไป

ส่วนที่เรียกว่า ใส่ไม่เอา หมายถึง เมื่อมีการผิดผีกันแล้ว บ่าวหรือสาวไม่เต็มใจที่จะร่วมชีวิต เป็นผัวเมียกัน การใส่ผีแบบนี้ต้องเสียเงินทองมากกว่าการใส่เอา เพราะถือว่าผิดผีแล้วไม่รับเลี้ยงดู ทำให้ฝ่ายหญิงเสียหาย จึงมีการปรับเงินค่าผีเพิ่มขึ้น แล้วแต่ทางฝ่ายหญิงจะเรียกร้องและตกลงกัน

การใส่ผีต้องมี หัวหมู ขนม ดอกไม้ธูปเทียน มีไก่ต้มทั้งตัว แล้วแต่พ่อแม่ฝ่ายสาวจะเรียกร้อง ส่วนเงินค่าใส่ผีไม่มีกำหนดที่แน่นอน แล้วแต่ฐานะของผีในตระกูล สิ่งของเหล่านี้พ่อแม่ฝ่ายหญิง จะเอาไปสังเวยให้แก่ผีของตน ซึ่งมักสร้างศาลไว้ในบ้านหรือทำหิ้งไว้ตรงเสา เมื่อบอกกล่าวและวาง เครื่องสังเวยเป็นเวลาพอสมควร ก็ยกเอาเครื่องสังเวยเหล่านั้นมากินกัน จากนั้นถือว่าฝ่ายชาย เป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านสามารถเข้านอกออกในได้อย่างสบาย ส่วนฝ่ายหญิง หลังจากเสร็จพิธีที่บ้าน ของตนเองก็จะนำ ดอกไม้ธูปเทียน ไปบอกกล่าวผีทางฝ่ายชายให้รับรู้อีกครั้ง

อากาศยามดึกเงียบสงัด ได้ยินแม้เสียงลมหายใจของกันและกัน ลมหนาวพัดโชยสะท้านเข้าไป ในทรวง หนาวลึกกว่านั้นกับอารมณ์ปรารถนา ตามธรรมชาติของชายหนุ่มหญิงสาว บุญมากระเถิบกาย เข้าชิดวันดาสาวคนรัก หญิงสาวเอียงอายตามประสา แต่ไม่สามารถต้านความต้องการในใจตน ต่างอิงแอบเอาไออุ่นจากกันและกัน เวลาคล้อยเคลื่อน เนิ่นนาน จนฝ่ายพ่อแม่สาว ผิดสังเกตจึงแอ้ม ประตูออกมา

"สูเจ้าทำผิดผีแล้ว ต้องทำตามประเพณี เจ้าต้องเสียผีให้บ้านเรา" พ่อสาวเอ่ยกับชายหนุ่ม

"เรายอมรับทำทุกอย่าง" บุญมาตอบทางพ่อแม่ ซึ่งตั้งใจฟังคำตอบอย่างจดจ่อ ด้วยตนก็เต็มใจ ที่จะรับหนุ่มคนนี้เป็นสมาชิกของครอบครัว เคยได้ยินกิตติศัพท์ความขยันขันแข็งเรื่องการทำมาหากิน มาช้านาน คราวนี้สมหวังได้เป็นลูกจาย (ลูกเขย) สักที

วันเวลาหมุนเปลี่ยน ชาวชนบทคู่แล้วคู่เล่าที่ต่างผิดผี เสียผี และดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองสืบต่อมา การเคารพผีหรือบรรพบุรุษแสดงถึงน้ำใจคนรุ่นใหม่ที่มอบให้ผู้เกิดมาและจากไปก่อน พร้อมทิ้ง ร่องรอยและความเจริญงอกงามไว้ให้เพื่อสืบต่อและพัฒนาตน

คงไม่มีสรรพสิ่ง สิ่งใด ในโลกนี้ที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีรากฐานและปัจจัยเอื้อในอดีตมาก่อน